BMW E46 Thailand
พูดคุย แลกเปลี่ยน เฮฮา => ถาม-ตอบ ปัญหา => ข้อความที่เริ่มโดย: tom46 ที่ พฤศจิกายน 14, 2012, 22:32:05
-
รบกวนหน่อยนะครับ คือ ผมอยากทราบว่าน้ำมันเครื่อง 30 กับ 40 แตกต่างกันอย่างไรในทางเทคนิคครับ
พอดีผมเดิมใช้ น้ำมันเครื่่อง ของศูนย์บริการเบอร์ 30 อยู่น่ะครับ อยากจะเปลี่ยนค่ายบ้าง ไปอ่านสเป็คของน้ำมันที่ดูๆไว้ มีอยู่ท่อนนึงเขาพูดถึงว่า เหมาะกับเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาสำหรับความหนืดต่ำ
เลยอยากทราบไว้น่ะครับ จะได้เลือกถูก :-X
-
ตอนแรกผมก็ใช้น้ำมันเกรดศูนย์นะครับ คาสตรอล 0w-30 แต่คิดเองว่ารถเก่าแล้ว ต้องใช้น้ำมันหนืดๆ ขึ้นบ้าง ทุกวันนี้เลยใช้ 5w-50 มาตลอด เปลี่ยนไป 3 ครั้งแล้วยัไม่พบปัญหาใดๆ ส่วนเรื่องทางเทคนิคผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แหะๆ
-
ขอบคุณครับ คุณยิ้ม ช่วงนี้เป็นอย่างไงบ้างครับ ดีขึ้นบ้างหรือยังครับ
-
ขอบคุณครับ คุณยิ้ม ช่วงนี้เป็นอย่างไงบ้างครับ ดีขึ้นบ้างหรือยังครับ
ดีขึ้นพอสมควรครับ ยังมีอาการเสมหะมีสีเลือดนิดหน่อย ส่วนหลังก็หายปวดไปพอสมควรแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับผม :-X
-
ผมได้castrol 10w-60มาน่าใช้มั้ยครับ
-
ผมได้castrol 10w-60มาน่าใช้มั้ยครับ
ของผมจะเอา 30 หรือ 40 ดียังปวดหัวอยู่เลยครับ ที่สนใจอยู่เป็นตัวนี้ครับ
-
ผมได้castrol 10w-60มาน่าใช้มั้ยครับ
ของผมจะเอา 30 หรือ 40 ดียังปวดหัวอยู่เลยครับ
บังเอิญเจอครับ รบกวนพี่ต้อมพิจารณาครับ
www.thaicrazycar.com/664/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88 (http://www.thaicrazycar.com/664/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88)
-
อันนี้แพ็คเกจของเมืองนอกครับ
-
ผมได้castrol 10w-60มาน่าใช้มั้ยครับ
ของผมจะเอา 30 หรือ 40 ดียังปวดหัวอยู่เลยครับ
บังเอิญเจอครับ รบกวนพี่ต้อมพิจารณาครับ
www.thaicrazycar.com/664/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88 (http://www.thaicrazycar.com/664/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88)
ขอบคุณมากๆเลยครับ
แต่ที่ผมสงสัยอยู่ตรงที่ศูนย์ใช้เบอร์ 30 กับของ motul ที่เป็นเบอร์ 30 ก็บอกว่าเหมาะสมกับเครื่องที่ถูกออกแบบมาสำหรับเครื่องที่ต้องการความหนืดต่ำนะครับ เลยทำให้สับสนว่าสเป็คที่เขาต้องการจริงๆคือ แค่เบอร์ 30 หรือเปล่า
-
ข้อมูลแสดงน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่อง m52/m54 ครับ
(http://www.bimmerfest.com/forums/attachment.php?attachmentid=191992&d=1246677998)
สังเกตจะมี เกรด 30 เป็นหลักครับ
ที่มา
http://www.bimmerfest.com/wiki/index.php?title=BMW_E46 (http://www.bimmerfest.com/wiki/index.php?title=BMW_E46)
http://www.bimmerfest.com/forums/attachment.php?attachmentid=198114&d=1250989272 (http://www.bimmerfest.com/forums/attachment.php?attachmentid=198114&d=1250989272)
ผมว่าจะ 30 หรือ 40 ก็ได้ครับ
-
0w-40 หมายความว่า
0 น้ำมันจะเหนียวสุดที่อุณหภูมิ 0องศา W= Winter ส่วน 40 หมายถึงว่า ค่าความหนืดเมื่อน้ำมันถึง 100องศา
ง่ายๆก็คือว่า น้ำมันตัวนี้ จะเหนียวสุดที่ 0 องศาและเมื่อเดือดความหนืดจะเป็น 40
5w-30ถ้าเทียบแล้วก็คือ ที่ 5 องศาน้ำมันจะหนืดตัวที่สุดและเหลวสุดที่ 100องศา ด้วยค่าความหนืดที่ 30
-
ขออธิบายตามที่รู้มาแล้วกันครับพี่ 0W-40 มันมีความหมายอย่างไร
W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ซึ่งเมืองไทยคงไม่อากาศหนาวติดลบขนาดนั้นอยู่แล้ว ผมคิดเอาเองว่าเบอร์อะไรก็ได้สำหรับตัวเลขชุดหน้า
ตัวเลขชุดหลังนี้คือความหนืด viscosity
การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลข ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย
ส่วนรถที่เหมาะกับน้ำมันเครื่องเบอร์ 30 ก็จะเป็นพวกรถใหม่ๆครับผ่านการใช้งานไม่มากครับ ถ้าเก่าขึ้นก็ควรใช้ความหนืดสูงขึ้นตามไปด้วย :-*
-
;)
ขออธิบายตามที่รู้มาแล้วกันครับพี่ 0W-40 มันมีความหมายอย่างไร
W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ซึ่งเมืองไทยคงไม่อากาศหนาวติดลบขนาดนั้นอยู่แล้ว ผมคิดเอาเองว่าเบอร์อะไรก็ได้สำหรับตัวเลขชุดหน้า
ตัวเลขชุดหลังนี้คือความหนืด viscosity
การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลข ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย
ส่วนรถที่เหมาะกับน้ำมันเครื่องเบอร์ 30 ก็จะเป็นพวกรถใหม่ๆครับผ่านการใช้งานไม่มากครับ ถ้าเก่าขึ้นก็ควรใช้ความหนืดสูงขึ้นตามไปด้วย :-*
-
ขออธิบายตามที่รู้มาแล้วกันครับพี่ 0W-40 มันมีความหมายอย่างไร
W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ซึ่งเมืองไทยคงไม่อากาศหนาวติดลบขนาดนั้นอยู่แล้ว ผมคิดเอาเองว่าเบอร์อะไรก็ได้สำหรับตัวเลขชุดหน้า
ตัวเลขชุดหลังนี้คือความหนืด viscosity
การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลข ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย
ส่วนรถที่เหมาะกับน้ำมันเครื่องเบอร์ 30 ก็จะเป็นพวกรถใหม่ๆครับผ่านการใช้งานไม่มากครับ ถ้าเก่าขึ้นก็ควรใช้ความหนืดสูงขึ้นตามไปด้วย :-*
ขอบคุณครับ
-
ข้อมูลแสดงน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่อง m52/m54 ครับ
(http://www.bimmerfest.com/forums/attachment.php?attachmentid=191992&d=1246677998)
สังเกตจะมี เกรด 30 เป็นหลักครับ
ที่มา
http://www.bimmerfest.com/wiki/index.php?title=BMW_E46 (http://www.bimmerfest.com/wiki/index.php?title=BMW_E46)
http://www.bimmerfest.com/forums/attachment.php?attachmentid=198114&d=1250989272 (http://www.bimmerfest.com/forums/attachment.php?attachmentid=198114&d=1250989272)
ผมว่าจะ 30 หรือ 40 ก็ได้ครับ
ขอบคุณมากครับ คุณเรย์
และขอขอบคุณทุกๆท่านมากเลยครับ
ตอนนี้ปวดหัวเลยครับ เลือกไม่ถูก ตอนขับรุ่นนี้แรกๆ ที่ศูนย์บอกเปลี่ยนระยะ 25000 ก็เปลี่ยนแบบนั้นมาตลอด พอมารอบหลังๆกลับบอกว่า ตอนนี้สเป็คน้ำมันตัวนี้ทาง BMW ให้กลับมาเปลี่ยนที่ 15000 โล
แล้วตัวน้ำมันก็เปลี่ยนไปจากเดิมเป็น SLX ก็มาเป็น EDGE เลยชักไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไรแล้ว สเป็คมันกลับไปกลับมา ประกอบกับรถผมตอนนี้มีทำมาบ้างเล็กน้อย เลยว่าจะลองของใหม่ๆดูบ้างครับ
-
เอาแบบลูกทุ่งครับพี่ต้อม ถ้าพี่ต้อมเติม 30 พี่ต้อมจะได้ความลื่นไหลของเครื่องยนต์ กดคันเร่งแล้วรู้สึกเครื่องมันลื่นดี เพราะความหนืดมันน้อย เครื่องยนต์ไม่ต้องใช้แรงเอาชนะความหนืดของน้ำมันเครื่องมาก แต่อาจจะเจอปัญหาว่าน้ำมันเครื่องหายไปบ้างระหว่างใช้งาน
แต่ถ้าพี่ต้อมเติม 40 เวลากดคันเร่งก็จะได้ความรู้สึกว่าเครื่องมันแน่นขึ้น แต่ความรู้สึกเหมือนมันไม่ค่อยลื่นนิดๆ แต่ความจริงก็ไม่ต่างมากเพราะเครื่องยนต์ที่เกินแสนโลแล้ว จะมีระยะ clearance ที่มากกว่าเครื่องใหม่ๆ
อีกประเด็นคือ การรักษาคุณสมบัติความหนืดของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องดีๆ จะคงสภาพความหนืดได้ตามสเปก แต่ถ้าเจอของปลอมหรือของไม่มีคุณภาพ ความหนืดเปลียน ไม่คงสภาพความหนืดเครื่องยนต์ก็น๊อค เพราะปั้มน้ำมันเครื่อง ปั๊มไม่ได้เพราะน้ำมันเครื่องเหลวเกินไปครับ O0 O0 O0
-
ผมใช้ 40-50 มาตลอดครับรถเก่าแล้ววิ่งมาแสนกว่าโลเอาหนืดไว้ดีกว่ารักษาเครื่องครับ อีกอย่างเอา BMW LL01 approved ไว้สบายใจครับส่วนระยะเปลื่อนน้ำมันเครื่องผมเปลี่ยนราวๆ 12000 - 15000 ตามสดวกตัวเองครับระยะนี้น้ำมันเครืองเริ่มเปลี่ยนสีแล้วครับนานกว่านี้ดำปี๋ ปล่อยถึง 25000 ผมว่ามันจะเริ่มเป็นโคลนติดตามชิ้นส่วนครับสังเกตุตอนเปิดผ่าวาวดูครับมีเศษน้ำมันเครื่องดำๆ ติดกระจาย :))
-
ขออธิบายตามที่รู้มาแล้วกันครับพี่ 0W-40 มันมีความหมายอย่างไร
W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
ซึ่งเมืองไทยคงไม่อากาศหนาวติดลบขนาดนั้นอยู่แล้ว ผมคิดเอาเองว่าเบอร์อะไรก็ได้สำหรับตัวเลขชุดหน้า
ตัวเลขชุดหลังนี้คือความหนืด viscosity
การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลข ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย
ส่วนรถที่เหมาะกับน้ำมันเครื่องเบอร์ 30 ก็จะเป็นพวกรถใหม่ๆครับผ่านการใช้งานไม่มากครับ ถ้าเก่าขึ้นก็ควรใช้ความหนืดสูงขึ้นตามไปด้วย :-*
;) ;) ;) ขอบคุณมากครับ
-
คราวนี้น้ำมันเครื่องตัวที่ดูไว้ เขาเขียนว่า เหนือกว่าทุกมาตราฐานที่มี นะสิครับ มึนเลย
-
ของผม 0w-40 Fully synthetic ปตท. เปลี่ยนทุก 10000 กม.ครับ
-
กระป๋องของบ้านเรา ไหมไม่สวยแบบเขาเนอะ
Mobil 1 vs. Motul 300V '95 Camaro LT1 (http://www.youtube.com/watch?v=3cChm-dqZts#)
-
คราวนี้น้ำมันเครื่องตัวที่ดูไว้ เขาเขียนว่า เหนือกว่าทุกมาตราฐานที่มี นะสิครับ มึนเลย
พี่จะเล่น motul ก็เล่นเลยครับพวกนี้ racing grade ฟิมน้ำมันจะแข็งแรงเป็นพิเศษอยู่แล้ว ส่วนตัวผมก็ลองเปลี่ยนไปเรื่อย redline , eneos , mobile1 , sunocco แต่เห็นบางที่เค้าก็บอกว่าใช้พวก ester base มันจะต้องเปลี่ยนเร็วกกว่าปกติ (แต่ผมก็เปลี่ยนทุกๆ 12000 เหมือนเดิม เพราะมันแพง ^_^)
-
แจ่มเลย Motul ;) ;) ;)
-
อยากลองใช้ก็จัดเลยครับ ถ้าไม่ชอบก็ค่อยเปลี่ยนออก ^-^
-
ตอนนี้คงไม่ไหวละครับ คุยไปคุยมากลายเป็นลิตรละ 1400 แถมมีแต่กระป๋อง 2 ลิตรอีก ของผมถ้าใช้ต้องซื้อ 4 กระป๋อง... :-\
-
ตอนนี้คงไม่ไหวละครับ คุยไปคุยมากลายเป็นลิตรละ 1400 แถมมีแต่กระป๋อง 2 ลิตรอีก ของผมถ้าใช้ต้องซื้อ 4 กระป๋อง... :-\
พี่ต้อมไม่ลองเล่น redline หรือ sustina ดูหละครับถูกกว่ากันนิดหน่อยแต่ก็ดีไม่แพ้กันเลยนะครับ :-* :-*
-
ลองทางเลือกนี้ดูครับ castral Titanium 0w-40 แกลลอนละ 1800 4ลิตร ใช้สองแกลลอนก็ 3,600บาท
ถ้าเอาแบบ 4+1ลิตร อยู่ที่ 2,200 บาท ราคาเบาๆ
ถ้ากลัวว่าใช้ไปนานๆคุณถาพจะด้อยลง ก็เปลี่ยนที่ 10,000 กม. ก็ได้ครับ
เพราะราคาไม่แรง เปลี่ยนบ่อยๆ ก็ยังสบายกระเป๋าอยู่ครับ
แถมได้น้ำมันใหม่ตลอดเวลาด้วยครับ
เทียบกับที่ พี่ต้อมจะเปลี่ยน 2ลิตร 1,400บาท ใช้ 4ขวด 5600บาท
เปลี่ยน Titanium ถูกกว่าตั้ง 2,000 เลยนะครับ
-
ลองทางเลือกนี้ดูครับ castral Titanium 0w-40 แกลลอนละ 1800 4ลิตร ใช้สองแกลลอนก็ 3,600บาท
ถ้าเอาแบบ 4+1ลิตร อยู่ที่ 2,200 บาท ราคาเบาๆ
ถ้ากลัวว่าใช้ไปนานๆคุณถาพจะด้อยลง ก็เปลี่ยนที่ 10,000 กม. ก็ได้ครับ
เพราะราคาไม่แรง เปลี่ยนบ่อยๆ ก็ยังสบายกระเป๋าอยู่ครับ
แถมได้น้ำมันใหม่ตลอดเวลาด้วยครับ
เทียบกับที่ พี่ต้อมจะเปลี่ยน 2ลิตร 1,400บาท ใช้ 4ขวด 5600บาท
เปลี่ยน Titanium ถูกกว่าตั้ง 2,000 เลยนะครับ
ไม่ใช่ 2 ลิตร 1400 นะคับพี่ชัคกี้ ลิตรละ 1400 และไม่มีขายแบบลิตรต่อลิตรคับมีแต่ขายครั้งละ 2 ลิตรอย่างน้อยๆ เพราะไม่มีกระป๋องแบบ 1 ลิตรขายครับ ตกเริ่มต้นที่ 2 ลิตรแรก 2800 คับ ผมไม่ไหวแบบนี้แต่ถ้ารวยเมื่อไหร่จะขอลองซักทีแน่ๆคับ ::)
-
ราคาสูงไป ไม่จำเป็นสำหรับการขับปกติครับ ผมไม่จ่าย O0
-
คือ ตอนแรกผมเทียบกับน้ำมันศูนย์ ลิตรละ 850 ถามตอนแรกว่า 1200 ลดเหลือ 1080 ก็คิดว่าน่าลอง 6.5 ลิตร ก็เพิ่มประมาณ พันกว่าบาท ก็น่าลองครับพี่
ราคาสูงไป ไม่จำเป็นสำหรับการขับปกติครับ ผมไม่จ่าย O0
คือ ตอนแรกผมเทียบกับน้ำมันศูนย์ ลิตรละ 850 ถามตอนแรกว่า 1200 ลดเหลือ 1080 ก็คิดว่าน่าลอง 7 ลิตร ก็เพิ่มประมาณ พันกว่าบาท ก็น่าลองครับพี่
พอจะเอาเข้าจริง ผมฟังผิดหรือเขาบอกผิดก็ไม่รู้ กลายเป็นลิตรละ 1400 ขายแบบเป็นกระป๋อง 2 ลิตรอีกครับ