ผู้เขียน หัวข้อ: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ  (อ่าน 4273 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

doctor alex

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 467
ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 14:36:04 »
เครื่งอ n42  บอดี้ อี46   ท่านใช้อะไรที่ดี  รบกวนขอทราบหน่อยครับ ว่าจะออกไปในเมือง ไปหาซื้อครับ

Somchai

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 334
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 14:44:06 »
ของศูนย์ใช้ของ Castrol XO  Spec 75W-90 ลิตรละ 2,000
มีหลายๆคนแนะนำ Valvoline 80W-90  ลิตรละ 250

เปรียบเทียบ
1.)ตอนออกตัวให้ดู Viscosity ที่ 40C  ถ้าสูงกว่าหนืดกว่า  หนืดกว่าปกป้องสูงกว่าเพราะฟิล์มที่เคลือบ
          ฟันเฟืองจะหนากว่าแต่จะต้องแลกกับต้องใช้กำลังเครื่องยนต์ที่สูงกว่าในการกวนของหนืดๆ  ซึ่งจะเห็นว่า Castrol
    = 103.7 , Valvoline = 135
2.) ตอนวิ่งๆทางไกล ใช้ความเร็วจนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ให้ดูที่ 100C จะเห็นว่า Castrol = 15.7 ,
    Valvoline = 14.5  ดังนั้นที่อุณหภูมิในเสื้อน้ำมันเฟืองท้ายสูงขึ้นใกล้ 100 องศา  Valvoline
             จะไหลได้ดีกว่า หนืดน้อยกว่าใช้กำลังเครื่องยนต์ต่ำกว่า
3.) ดูคร่าวกลางๆ ระหว่างที่อุณหภูมิเคลื่อนที่ระหว่าง 40 - 100 C ให้ดู Viscosity index  -
    Castrol = 162 , Valvoline = 107 ดังนั้น Valvoline ต่ำกว่าใช้กำลังเครื่องเฉลี่ยต่ำกว่า
4.) การคงทนของน้ำมัน ให้ดู Flash point - Castrol = >220 , Valvoline = >186 
             หมายถึงถ้าเราใช้ไปนานๆๆๆๆ จนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายๆครั้ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีอนุภาคบางตัวของเนื้อน้ำมันกลายเป็นคราบ
    (เหมือนน้ำในกา=ตะกรัน)ซึ่งรวมกับเนื้อเหล็กจากการเสียดสี  ซึ่งหมายความว่า Castrol จะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า

Chris

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 2784
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 14:57:25 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ของศูนย์ใช้ของ Castrol XO  Spec 75W-90 ลิตรละ 2,000
มีหลายๆคนแนะนำ Valvoline 80W-90  ลิตรละ 250

เปรียบเทียบ
1.)ตอนออกตัวให้ดู Viscosity ที่ 40C  ถ้าสูงกว่าหนืดกว่า  หนืดกว่าปกป้องสูงกว่าเพราะฟิล์มที่เคลือบ
          ฟันเฟืองจะหนากว่าแต่จะต้องแลกกับต้องใช้กำลังเครื่องยนต์ที่สูงกว่าในการกวนของหนืดๆ  ซึ่งจะเห็นว่า Castrol
    = 103.7 , Valvoline = 135
2.) ตอนวิ่งๆทางไกล ใช้ความเร็วจนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ให้ดูที่ 100C จะเห็นว่า Castrol = 15.7 ,
    Valvoline = 14.5  ดังนั้นที่อุณหภูมิในเสื้อน้ำมันเฟืองท้ายสูงขึ้นใกล้ 100 องศา  Valvoline
             จะไหลได้ดีกว่า หนืดน้อยกว่าใช้กำลังเครื่องยนต์ต่ำกว่า
3.) ดูคร่าวกลางๆ ระหว่างที่อุณหภูมิเคลื่อนที่ระหว่าง 40 - 100 C ให้ดู Viscosity index  -
    Castrol = 162 , Valvoline = 107 ดังนั้น Valvoline ต่ำกว่าใช้กำลังเครื่องเฉลี่ยต่ำกว่า
4.) การคงทนของน้ำมัน ให้ดู Flash point - Castrol = >220 , Valvoline = >186 
             หมายถึงถ้าเราใช้ไปนานๆๆๆๆ จนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายๆครั้ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีอนุภาคบางตัวของเนื้อน้ำมันกลายเป็นคราบ
    (เหมือนน้ำในกา=ตะกรัน)ซึ่งรวมกับเนื้อเหล็กจากการเสียดสี  ซึ่งหมายความว่า Castrol จะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า
โห ชัดเจนเลยพี่ เห็นภาพเลยครับ ;)
Born to be a Bimmer lover
I'm a E46 addict!
''อคติ คือสิ่งที่คนโง่ใช้แทนเหตุผล''

doctor alex

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 467
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 15:36:22 »
ขอบคุณครับพี่สมชาย  ผมขออวยพรล่วงหน้าให้พี่สุขภาพดี  อยู่เป็นที่พึ่งของน้องผู้่ไม่รู้ ไม่ตื่น แต่เบิกบานไปตลอดนะครัรบ   ที่พี่เขียนตอน ผมก็อบ พิมพออกใส่แฟ้มไว้อ่านครัรบ   

doctor alex

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 467
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 15:40:58 »
พี่สมชายาครับ พี่อั่นรูปหล่อประจำเวป บอกว่าเฟืองท้าน ใช้85w-140  ผมเลยถือโอกกาสถามพี่ครับ
1.จาก90 เป็น140  ตัวเลขที่เพิ่มหมายถึงอะไรครับ จาก90 เป็น140 มีอะไรแตกต่างดีแลวต่างกันไหมครับ
2.  ข้างถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผมใช้มานานเป็น 10 ปีกับรถทุถคันที่บ้าน  เขียนว่า 5w 40  พี่ช่วยแถลงต่อห่น่อยครับว่า 5 คืออะไร และ 40 คืออะไร

   สุดท้ายพี่อย่าเบื่อรับโทรศัพท์ผมนะครับ......

Somchai

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 334
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 16:01:47 »
1 ตามปกติ ศูนย์ จะแนะนำ เบอร์ 90 แต่ถ้ากลัวเฟืองท้ายหอน ก็อาจจะใช้ เบอร์ 140 ซึ่งให้ความหนืดมากกว่า


2 ตอบเรื่อง น้ำมันเครื่อง......

หลายท่านอาจจะคุ้นกับเลขพวกนี้ของน้ำมันเครื่อง 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50
แต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่าความหมายของมันคืออะไร มีผลกับคุณสมบัติของตัวน้ำมันเครื่องยังไง

ตัวเลข 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50 ตามประสาช่างทั่วไปคือ "เบอร์น้ำมันเครื่อง"
แต่จริงๆ แล้วตัวเลขพวกนี้มันคือ ค่าความหนืด หรือ Viscosity ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง

แล้วค่าความหนืดคืออะไรหละ? ... ค่าความหนืด หรือเรียกอีกชื่อคือ ค่าความต้านทานการไหล ที่จะแปรผันตามอุณหภูมิ
ซึ่งค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องมีหลายมาตรฐานตามสถาบันต่าง (ขยันตั้งมาตรฐานให้พวกเรางงกันจริงจริ๊ง ฮึ่ม!!) ได้แก่

API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE
SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS
US MILITARY CLASSIFICATION - สถาบันทางทหารของสหรัฐอเมริกา
ASTM - AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS
CCMC - COMITTEE OF COMMON MARKET CONSTRUCTION

จะเยอะไปไหนเนี๊ยะ ..?!?!???

การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลขเรียกว่า "เบอร์ของน้ำมันเครื่อง"
(แต่ช่างมันจะเรียกรวมๆ ว่าเบอร์น้ำมันเครื่อง ตามประสาช่าง!) ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน (ดีแล้วที่มาตรฐานเดียวกัน ไม่งั้นมั่วกระจาย)
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย (ง่ายๆ ตรงตัวกันไป)
 


W คืออะไร

W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข (องุ่น ไม่เป็นไข เอ้ยไม่ใช่)
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้

0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

เกรดของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ

1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว คือ น้ำมันเครื่องที่มีความค่าความหนืดเหมาะสมกับเฉพาะอุณหภูมิหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอุณหภูมิสูง
พออุณหภูมิเริ่มต่ำลง ความหนืดก็จะเพิ่มขึ้น รับรองโดยสถาบันเดียวคือ SAE เช่นน้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 50 หรือ SAE 40
ปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีขายอยู่ แต่หาซื้อได้น้อยมาก เหมาะกับเครื่องยนต์รอบต่ำ เครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ และประเทศเขตร้อน

2.น้ำมันเครื่องเกรดรวม Multi Grad น้ำมันเครื่องมัลติเกรด เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้
เช่นในอุณหภูมิสูง จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เรียกได้ว่ามีช่วงอุรหภุมิการใช้งานที่กว้างขึ้น
เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ทุกอุณหภูมิ ซึ่งจะระบุเป็น 2 ตัวเลข มีอักษร W เป็นตัวคั่นกลางเช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น
ปัจจุบันน้ำมันเครื่องแบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้ และมีขายในท้องตลาดทั่วๆไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่ และประเทศในเขตหนาวเย็น
และยังสามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ
 



มาตรฐานน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งาน

น้ำมันเครื่องที่ใช้กับรถยนต์ แบ่งได้ออกเป็น 2 มาตรฐาน ตามลักษณะการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ว่าเป็นชนิด แก๊สโซลีน
หรือ ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เพราะเครื่องยนต์ทั้งสองชนิด จะมีการออกแบบที่แตกต่างกัน อีกทั้งการเผาไหม้ของทั้งสองเชื้อเพลิง
ต่างก็ได้เขม่า และสารตกค้างหลังการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนกัน น้ำมันเครื่องจึงต้องผสมสารปรุงแต่ง หรือ Additive
ให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท

80% ของน้ำมันเครื่องที่ขายกันอยู่ในตลาดบ้านเราจะเป็นมาตรฐาน API โดยมาตรฐาน API สำหรับน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
จะมีอักษรนำหน้าว่า S (Service Stations Classifications) โดยเริ่มจาก SA เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องรุ่นเก่าๆสมัยแรกๆ ต่อมา
ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนมาตรฐานให้สูงมากขึ้นตามเทคโนโลยีจนปัจจุบัน SM ถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุด

และน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะมีอักษรนำหน้าว่า C (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION)
เริ่มจากมาตรฐาน CA – CB จนในปัจจุบันมาตรฐานสูงสุดของน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคือ CI-4 ส่วนเลข 4 จะหมายถึงกับ
ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ (เมื่อก่อนมีเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะด้วยนะ ปัจจุบันเห็นแล้ว)

ฝากทิ้งท้าย

สำหรับการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับพวกเราก็ขอให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องตามมาตรฐานที่คู่มือกำหนด หรือสูงกว่านะครับ
การใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกนานแสนนาน จริงๆ นะ

ทั้งหมดที่ผมเขียนมาอ้างอิงจาก
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

Fortis

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 1518
  • Read Only
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 16:07:09 »
ขอบคุณมากๆครับ เข้าใจง่ายดีจัง ;) ;) ;)

สวัสดีปีใหม่ พี่หมอ พี่สมชายด้วยครับ  :-X :-X

doctor alex

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 467
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 22:37:32 »
สมชาย  หายห่วง    ขอคารวะ ด้วยใจ..................(  โค้งคำนับ....)

วีรวิชญ์

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2868
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2012, 23:53:55 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
พี่สมชายาครับ พี่อั่นรูปหล่อประจำเวป บอกว่าเฟืองท้าน ใช้85w-140  ผมเลยถือโอกกาสถามพี่ครับ
1.จาก90 เป็น140  ตัวเลขที่เพิ่มหมายถึงอะไรครับ จาก90 เป็น140 มีอะไรแตกต่างดีแลวต่างกันไหมครับ
2.  ข้างถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผมใช้มานานเป็น 10 ปีกับรถทุถคันที่บ้าน  เขียนว่า 5w 40  พี่ช่วยแถลงต่อห่น่อยครับว่า 5 คืออะไร และ 40 คืออะไร

   สุดท้ายพี่อย่าเบื่อรับโทรศัพท์ผมนะครับ......

ของผมมันมีเสียงหอนตรงท้ายเลยลองใช้ดูนะครับ กลางคืนจอดรถไว้แถมมีหมาหอนอีกจริงๆ  นะครับเป็นบางคืน..!!! :o :o :o

T.Tankittiphob

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2682
  • 330Ci/M54+LPG
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 09:09:38 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
พี่สมชายาครับ พี่อั่นรูปหล่อประจำเวป บอกว่าเฟืองท้าน ใช้85w-140  ผมเลยถือโอกกาสถามพี่ครับ
1.จาก90 เป็น140  ตัวเลขที่เพิ่มหมายถึงอะไรครับ จาก90 เป็น140 มีอะไรแตกต่างดีแลวต่างกันไหมครับ
2.  ข้างถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผมใช้มานานเป็น 10 ปีกับรถทุถคันที่บ้าน  เขียนว่า 5w 40  พี่ช่วยแถลงต่อห่น่อยครับว่า 5 คืออะไร และ 40 คืออะไร

   สุดท้ายพี่อย่าเบื่อรับโทรศัพท์ผมนะครับ......
ได้ความรู้แจ้งพี่สมชายขอบคุณครับ
ได้ความรู้เรื่องแม่ย่านางเพิ่มก็เพราะรถพี่อั๋นนี่หละครับ
ของผมมันมีเสียงหอนตรงท้ายเลยลองใช้ดูนะครับ กลางคืนจอดรถไว้แถมมีหมาหอนอีกจริงๆ  นะครับเป็นบางคืน..!!! :o :o :o
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

Crazy_Hours

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 250
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 20:44:28 »
 :-X :-X :-X ;) ;) ;)
ข้อมูลเพียบ

doctor alex

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 467
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 22:40:48 »
ควรค่าเเก่การเป็นกระทู้เก็บไว้ ให้ผู้ใช้รถทุกท่านอ่านมากครับ

Krisada511

  • คิดว่าดีก็ทำต่อไป
  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 13170
  • 325i M-Sport-N52k
    • http://www.subaruxvthailand.com/
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 15:28:39 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ของศูนย์ใช้ของ Castrol XO  Spec 75W-90 ลิตรละ 2,000
มีหลายๆคนแนะนำ Valvoline 80W-90  ลิตรละ 250

เปรียบเทียบ
1.)ตอนออกตัวให้ดู Viscosity ที่ 40C  ถ้าสูงกว่าหนืดกว่า  หนืดกว่าปกป้องสูงกว่าเพราะฟิล์มที่เคลือบ
          ฟันเฟืองจะหนากว่าแต่จะต้องแลกกับต้องใช้กำลังเครื่องยนต์ที่สูงกว่าในการกวนของหนืดๆ  ซึ่งจะเห็นว่า Castrol
    = 103.7 , Valvoline = 135
2.) ตอนวิ่งๆทางไกล ใช้ความเร็วจนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ให้ดูที่ 100C จะเห็นว่า Castrol = 15.7 ,
    Valvoline = 14.5  ดังนั้นที่อุณหภูมิในเสื้อน้ำมันเฟืองท้ายสูงขึ้นใกล้ 100 องศา  Valvoline
             จะไหลได้ดีกว่า หนืดน้อยกว่าใช้กำลังเครื่องยนต์ต่ำกว่า
3.) ดูคร่าวกลางๆ ระหว่างที่อุณหภูมิเคลื่อนที่ระหว่าง 40 - 100 C ให้ดู Viscosity index  -
    Castrol = 162 , Valvoline = 107 ดังนั้น Valvoline ต่ำกว่าใช้กำลังเครื่องเฉลี่ยต่ำกว่า
4.) การคงทนของน้ำมัน ให้ดู Flash point - Castrol = >220 , Valvoline = >186 
             หมายถึงถ้าเราใช้ไปนานๆๆๆๆ จนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายๆครั้ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีอนุภาคบางตัวของเนื้อน้ำมันกลายเป็นคราบ
    (เหมือนน้ำในกา=ตะกรัน)ซึ่งรวมกับเนื้อเหล็กจากการเสียดสี  ซึ่งหมายความว่า Castrol จะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า

ชัดเจน ความรู้ล้วนๆ ขอบคุณมากๆครับ ผมกำลังจะเปลี่ยนพอดี  :-X
สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้ มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่ แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว / ขอแนะนำเวปส่วนตัว ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

doctor alex

  • ขาประจำ
  • ****
  • กระทู้: 467
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 16:01:38 »
โคตรดีใจเลยที่เป็นคนตั้งกระทุ้   และยิ่งดีใจที่พีี่สมชาย ปล่อยความรู้แบบไม่ยั้ง

manbm

  • คนคุ้นเคย
  • ***
  • กระทู้: 181
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 16:09:20 »
เข้ามาเก้บข้อมูงครับ ความรู้ล้วนๆขอบคุณมากครับ

tom46

  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 16931
  • M52TUB30 SCHRICK CAM
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 10:02:47 »
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
1 ตามปกติ ศูนย์ จะแนะนำ เบอร์ 90 แต่ถ้ากลัวเฟืองท้ายหอน ก็อาจจะใช้ เบอร์ 140 ซึ่งให้ความหนืดมากกว่า


2 ตอบเรื่อง น้ำมันเครื่อง......

หลายท่านอาจจะคุ้นกับเลขพวกนี้ของน้ำมันเครื่อง 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50
แต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่าความหมายของมันคืออะไร มีผลกับคุณสมบัติของตัวน้ำมันเครื่องยังไง

ตัวเลข 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50 ตามประสาช่างทั่วไปคือ "เบอร์น้ำมันเครื่อง"
แต่จริงๆ แล้วตัวเลขพวกนี้มันคือ ค่าความหนืด หรือ Viscosity ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง

แล้วค่าความหนืดคืออะไรหละ? ... ค่าความหนืด หรือเรียกอีกชื่อคือ ค่าความต้านทานการไหล ที่จะแปรผันตามอุณหภูมิ
ซึ่งค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องมีหลายมาตรฐานตามสถาบันต่าง (ขยันตั้งมาตรฐานให้พวกเรางงกันจริงจริ๊ง ฮึ่ม!!) ได้แก่

API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE
SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS
US MILITARY CLASSIFICATION - สถาบันทางทหารของสหรัฐอเมริกา
ASTM - AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS
CCMC - COMITTEE OF COMMON MARKET CONSTRUCTION

จะเยอะไปไหนเนี๊ยะ ..?!?!???

การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลขเรียกว่า "เบอร์ของน้ำมันเครื่อง"
(แต่ช่างมันจะเรียกรวมๆ ว่าเบอร์น้ำมันเครื่อง ตามประสาช่าง!) ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน (ดีแล้วที่มาตรฐานเดียวกัน ไม่งั้นมั่วกระจาย)
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย (ง่ายๆ ตรงตัวกันไป)
 


W คืออะไร

W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข (องุ่น ไม่เป็นไข เอ้ยไม่ใช่)
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้

0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข

เกรดของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ

1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว คือ น้ำมันเครื่องที่มีความค่าความหนืดเหมาะสมกับเฉพาะอุณหภูมิหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอุณหภูมิสูง
พออุณหภูมิเริ่มต่ำลง ความหนืดก็จะเพิ่มขึ้น รับรองโดยสถาบันเดียวคือ SAE เช่นน้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 50 หรือ SAE 40
ปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีขายอยู่ แต่หาซื้อได้น้อยมาก เหมาะกับเครื่องยนต์รอบต่ำ เครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ และประเทศเขตร้อน

2.น้ำมันเครื่องเกรดรวม Multi Grad น้ำมันเครื่องมัลติเกรด เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้
เช่นในอุณหภูมิสูง จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เรียกได้ว่ามีช่วงอุรหภุมิการใช้งานที่กว้างขึ้น
เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ทุกอุณหภูมิ ซึ่งจะระบุเป็น 2 ตัวเลข มีอักษร W เป็นตัวคั่นกลางเช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น
ปัจจุบันน้ำมันเครื่องแบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้ และมีขายในท้องตลาดทั่วๆไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่ และประเทศในเขตหนาวเย็น
และยังสามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ
 



มาตรฐานน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งาน

น้ำมันเครื่องที่ใช้กับรถยนต์ แบ่งได้ออกเป็น 2 มาตรฐาน ตามลักษณะการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ว่าเป็นชนิด แก๊สโซลีน
หรือ ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เพราะเครื่องยนต์ทั้งสองชนิด จะมีการออกแบบที่แตกต่างกัน อีกทั้งการเผาไหม้ของทั้งสองเชื้อเพลิง
ต่างก็ได้เขม่า และสารตกค้างหลังการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนกัน น้ำมันเครื่องจึงต้องผสมสารปรุงแต่ง หรือ Additive
ให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท

80% ของน้ำมันเครื่องที่ขายกันอยู่ในตลาดบ้านเราจะเป็นมาตรฐาน API โดยมาตรฐาน API สำหรับน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
จะมีอักษรนำหน้าว่า S (Service Stations Classifications) โดยเริ่มจาก SA เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องรุ่นเก่าๆสมัยแรกๆ ต่อมา
ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนมาตรฐานให้สูงมากขึ้นตามเทคโนโลยีจนปัจจุบัน SM ถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุด

และน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะมีอักษรนำหน้าว่า C (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION)
เริ่มจากมาตรฐาน CA – CB จนในปัจจุบันมาตรฐานสูงสุดของน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคือ CI-4 ส่วนเลข 4 จะหมายถึงกับ
ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ (เมื่อก่อนมีเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะด้วยนะ ปัจจุบันเห็นแล้ว)

ฝากทิ้งท้าย

สำหรับการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับพวกเราก็ขอให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องตามมาตรฐานที่คู่มือกำหนด หรือสูงกว่านะครับ
การใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกนานแสนนาน จริงๆ นะ

ทั้งหมดที่ผมเขียนมาอ้างอิงจาก
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน
ไม่อนุญาตให้คุณมองเห็นลิงค์ สมัครสมาชิก หรือ ล็อกอิน

รบกวนถามพี่สมชายหน่อยนะครับ

น้ำมันเครื่องสำหรับการแข่งขัน กับ น้ำมันเครื่องแบบปกติ แตกต่างกันอย่างไรครับ


M52TUB24 NA TUNING
STROKER M54B30
SCHRICK CAM 248/248
aa tuning software custom
K&N performance air intake kit
Exhaust systems thailand hand made
Rear exhaust EISENMANN

Somchai

  • แฟนพันธุ์แท้
  • *****
  • กระทู้: 334
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 11:33:13 »
รถแข่งต้องการน้ำมันเครื่องที่ค่าความหนืดสูงครับ.....

รถแข่งนั้นใช้งานในรอบที่จัดกว่ารถธรรมดาบ้านๆมากครับคือรอบออกตัวก็ประมาณ 4000 อัพๆแล้ว ไฟจุดระเบิดแรงกว่า องศาแคมสูงกว่าปริมาตรความจุที่เยอะกว่า พวกนี้เ้ป็นผลทำให้ความร้อนในการใช้งานสูงมากๆสูงตลอดเวลาครับ ค่าน้ำมันถึงต้องการความหนืดที่มากขึ้น ไม่งั้นความร้อนสูงค่าความหนืดที่เคลือบเป็นชั้นฟิมล์มันจะไม่พอครับ


อย่างเช่น PTT RACING 5W-50
หรือ CASTROL EDGE SPORT 10W-60

tom46

  • Global Moderator
  • บุคคลในตำนาน
  • *****
  • กระทู้: 16931
  • M52TUB30 SCHRICK CAM
Re: ขอคำแนะนำน้ำมันเฟืองท้ายครับ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มกราคม 04, 2013, 14:16:49 »
ขอบคุณครับ


M52TUB24 NA TUNING
STROKER M54B30
SCHRICK CAM 248/248
aa tuning software custom
K&N performance air intake kit
Exhaust systems thailand hand made
Rear exhaust EISENMANN