ผู้เขียน หัวข้อ: การดูแลรักษาภายในรถยนต์  (อ่าน 3521 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

tum_prachachuen

  • สมาชิกสมัครใหม่
  • กระทู้: 65
    • http://www.facebook.com/home.php?#!/profile.php?id=100000581449461
การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2012, 17:28:06 »
การดูแลรักษาภายในรถยนต์


การดูแลรักษาภายในรถยนต์ ตรงนี้คุณผู้หญิงชอบอ่านเพราะขับรถเป็นแต่ไม่ชอบด้านเครื่องยนต์

-การเลือกใช้วัสดุสำหรับเบาะรถยนต์ รวมถึงข้อดีข้อเสีย
อันว่าเบาะรถยนต์นั้นก็มีหลายชนิดอยู่ขอแยกเป็นชนิด ๆ ไปก็ละกันเกิดของคุณตรงกับอันใหนเลือกอันนั้นไปเลย

1) เบาะหนังแท้
- ไม่อมความร้อน
- มีผิวสำผัสที่รู้สึกดีกว่าวัสดุชนิดอื่น
- ดูหรูหรา ภูมิฐาน
- มีความคงทนสูง (ถ้าใช้และดูแลอย่างถูกวิธี) - รักษายากกว่าวัสดุตัวอื่น
- อาจเกิดเสียงดัง ออดแอดอันเกิดจากการเสียดสีของผิวสัมผัส
-เก็บความชื้นได้ดีกว่าหนังเทียม โดยทั่วไปคุณสมบัติของผ้าที่ถือว่าดีมีความคงทนถาวรที่สุดชนิดหนึ่งก็คือ หนังแท้ทั้งยังให้ความรู้สึกที่หรูหรามากกว่าผ้าชนิดอื่นแต่ราคาก็แพงกว่าอยู่มาก เรามาดูวิธีดูแลรักษากันนะครับ
- อย่าให้ถูกแสงแดดนาน ๆเพราะจะทำให้ผ้ากรอบได้เร็วกว่าปกติอันเนื่องมาจากรังสี UV
- พยายามอย่าโดนน้ำหรือความชื้นเพราะผ้าหนังแท้ มีคุณสมบัติซึมน้ำได้พอสมควรและที่สำคัญเมื่อหนังเกิดความชื้นขึ้นจะทำให้ตัวแบททีเร
ียที่ฝังอยู่ข้างใน ออกมาเดินเพ่นพ่านส่งกลิ่นอับ
-อย่าเช็ดเบาะด้วยน้ำยาเคลือบเบาะบ่อยนักควรใช้เท่าที่จำเป็นเพราะว่าเมื่อเราเช็ดไป
แล้วนั้นน้ำยาต่าง ๆที่เราใช้เช็ดจะเข้าไปฝังอยู่ภายในทำให้ผ้านุ่ม ดูเหมือนใหม่ (ฟังดูดีจังนะครับ)แต่เมื่อใดที่สารดังกล่าวเสื่อมก็จะกลายเป็นสารที่มีความหนืดสูงซ
ึ่งจะทำให้ผ้าแข็งขึ้นทำให้ต้องทาซ้ำใหม่เพื่อให้กลับมานิ่มเหมือนเดิม โดยจริง ๆ แล้วนั้นบางบริษัทที่มีรถยนต์ระดับหรูหราเขาจะใช้ Vaseline ทา บาง ๆจะทำให้ผ้าไม่กรอบง่ายแต่ต้องทาบ่อย ๆเพราะเขาจะติดอยู่แค่ผิวนอก หลุดออกได้ง่ายหน่อย แหมถ้าอยากจะใช้เบาะหนังแท้ให้สวยก็ต้องรักษากันหน่อยละครับ

2) เบาะหนังเทียม
- รักษาง่ายกว่าวัสดุตัวอื่น
- ไม่เก็บความชื้น
- อมความร้อน
- ผิวสัมผัสไม่สบาย อบ
- ไม่ทนทานเท่าวัสดุตัวอื่น ๆวิธีการรักษาของวัสดุตัวนี้ไม่ยุ่งยากจัดได้ว่าง่ายที่สุดก็ได้ครับลองมาฟังดูแลัวจ
ะรู้ว่าง่ายจริงๆ
- อย่าให้โดนแดดบ่อยนักอันนี้เป็นเหมือนกันทุกอย่างแหละครับโดยบ่อย ๆ เสื่อมเร็วอย่างเช่นยางต่าง ๆ เนี่ยเสื่อมเร็วกว่าเมืองนอกตั้งเยาะ นำเข้าก็แพง ภาษีโหดร้ายเลยต้องทน ๆ เอา
- ถ้าเบาะเลาะก็ใช้ผ้าชุบน้ำให้แล้วบิดพอหมาดเช็เเหมือนกับที่เช็ดแผงประตูหรือแผงหน้า
ปัทแหละครับคุณสมบัติไม่ต่างกันเท่าใหร่ -สำหรับเบาะชนิดนี้ก็ยังอุตส่าห์มีน้ำยามาเคลือบเงาอีกบางทีน้ำยาเคลือบเงาแพงกว่าค่
าผ้าเสียอีกนะครับอย่างครั้งก่อนผมไปที่ห้างดังแห่งหนึ่ง ต้องการจะซื้อสินค้าประเภทรักษาเครื่องหนังเลยเข้าไปถามที่พนักงานขายสิ่งแรกที่เขาแ
นะนำให้เป็นน้ำยาเคลือบเงาเบาะรถยนต์ราคา พันกว่าบาท พอเห็นว่าผมเริ่มไม่สนในก็แนะนำตัวที่ถูกลงมา เหลือ 700บาท ผมก็เลยถามว่าแล้วที่ถูกกว่านี้มีใหมเขาตอบว่าใช้ยี่ห้ออื่นที่ทำในไทยแล้ว จะทำให้ผ้าแฉะ แหมอยากก้านคอเจ้าหมอนั่นจริง ๆของไทยไม่นิยมผมเลยซื้อให้เห็นเสียเลย แหมก็แค่ประมาณ 70 บาทเองถูกกว่าตั้งเยาะใช้ได้เหมือนกัน

3) เบาะกำมะหยี่,เบาะผ้า
- ไม่อมความร้อน
- มีผิวสำผัสที่รู้สึกดีกว่าหนังเทียม
- ดูหรูหรา ภูมิฐานรองมาจากหนังแท้
- มีความคงทนสูง (ถ้าใช้และดูแลอย่างถูกวิธี)
- รักษายาก
- เก็บความชื้นได้ดี
- มีกลิ่นอับง่าย
วิธีการดูแลรักษาที่เห็นจะยากที่สุด ก็เป็นเรื่องของความสะอาดเพราะ เป็นวัสดุที่มีความสามารถเก็บสิ่งสกปรกต่างๆ ในตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะของเหลวที่ใหลซึมเข้าสู่เนื้อในแล้วละก็ตัวผ้าจะเป็นด่างในทันที่โดยส่วนมาก
วัสดุชนิดนี้ที่นำมาใช้ในรถยนต์นั้นมักจะใช้สีเข้ม เพื่อเป็นการเลี่ยงสีไม่ให้เห็นสิ่งสกปรกด้านใน

วิธีการรักษามีอยู่2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

กลุ่มที่ 1 เพิ่งซื้อรถยนต์มาใหม่หรือเปลี่ยนผ้าเบาะใหม่ ในกลุ่มนี้สามารถหาซึ้สเปรฉีดกันน้ำฉีดก่อนเพื่อเคลือบผิวผ้าไม่ให้อมน้ำได้ง่ายนักแ
ล้วก็พยายามอย่าให้ถูกน้ำบ่อยๆ ละครับ ถึงแม้ว่าจะป้องกันแล้วก็อาจพลาดได้ จริงป่าว
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ใช้มาได้ซักระยะแล้วมีวิธีดังนี้ครับ ถ้าขยันพอก็ถอดเบาะต่าง ๆที่ต้องการจะล้างนำมาไว้กลางแดดแล้วใช้ผ้าชุบน้ำผงซักฟอก แล้วมาขัด ๆ ถู ๆสลับกับผ้าแห้ง สะอาด ๆจนกว่าสีจะค่อย ๆ จางลงเรื่อยๆ แล้วก็จะสะอาดเองแล้วก็นำไปตากแดดให้แห้งสนิทจึงค่อยนำไปไว้ในรถอย่างเดิม เป็นอันเรียบร้อย

-ทำอย่างไรเมื่อรถมีกลิ่น
อันนี้เป็นกันบ่อยมากถ้ารถมีกลิ่นเวลาขับอยู่หรือโดยสารอยู่ในรถก็ไม่ต่างอะไรกับนั่
งดมแก๊สพิษหรือตดของใครซักคนเพราะจะมีทั้งกลิ่นอัย กลิ่น เหม็น เอ๋อ เป็นลม เอาเป็นว่าทำอย่างนี้นะครับทำการตรวจดูว่าเป็นกลิ่นอะไรถ้าเป็นกลิ่นตัวคุณเองก็ไปอา
บน้ำเสียก่อน (พูดเล่นนะครับ) คือถ้าเป็นกลิ่นที่ตกค้างจากการจำวัตถุมีกลิ่นเข้ามาในรถหรือมีกลิ่นอับจากความชื้นก
็ให้นำรถเจ้ากรรมไปตากแดดจัดๆ โดยเปิดประดู ไว้ทุกบานเพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวกโดยถ้าเปิดกระจกได้ด้วยก็จะยิ่งดีเพื่อใ
ห้ลมสามารถเข้าโกรกได้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นกลิ่นมาจากน้ำมันหรือ ห้องเครื่องอันอาจเกิดจากวัสดุที่ใช้อุดช่องระหว่างห้องเครื่องกับห้องโดยสารเกิดการ
เสื่อม อันนี้ก็ต้องให้ช่างมาจัดการ

-วิธีการไล่ความชื้นให้ห้องโดยสาร
ทำเหมือนกับการไล่กลิ่นจากรถยนต์นะครับเพราะความชื้นต่าง ๆจะทำให้รถเกิดกลิ่นไม่อันพึงประสงค์จึงมีความใกล้เคียงกัน

-แอร์มีกลิ่นในตอนเริ่มใช้งานในช่วงแรก
ในตอนเช้าเมื่อคุณจะออกรถไปทำงานก็ได้กลิ่นเหมือนกับนั่งอยู่บริเวนข้างๆ คลองแสนแสบหรือมีกลิ่นอับเล็ก ๆออกมาเตาะจมูกให้พอรู้สึก อาการอย่างนี้ แก้ไม่ยากครับโดยในตอนที่คุณขับรถกลับบ้านในตอนเย็นก็ให้กดปิดปุ่ม ACCในรถยนต์เสียก่อนเพื่อให้พัดลมได้เป่าลมเปล่า ๆ ออกมาผ่านรังผึ้งเป็นการไล่ความชื้นที่สะสมอยู่ภายในทำอย่างนี้ซัก 2-3 นาทีแล้วปิดเครื่องในตอนเช้าวันใหม่กลิ่นจะได้ลดลงครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 1970, 07:00:00 โดย Guest »

tum_prachachuen

  • สมาชิกสมัครใหม่
  • กระทู้: 65
    • http://www.facebook.com/home.php?#!/profile.php?id=100000581449461
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2012, 17:28:46 »
-ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเกียร์ ที่เท่าไหร่
ในปกติแล้วน้ำมันเครื่องที่ตามศูนย์บริการเติมมาให้นั้นเป็นน้ำมันเครื่องธรรมดาครับ
ราคาไม่สูงมากนัก ประมาณ 600-800 บาท ก็มีเยอะน้ำมันในกลุ่มนี้จะเริ่มเสื่อมสภาพที่ประมาณ 5,000-7,000 กิโลเมตร ในอัตราการวิ่งปกติ ทางศูนย์หรือร้านต่าง ๆจึงแนะนำให้เปลี่ยนกันที 5,000 กิโลเมตร แต่...ต้องอย่าลืมว่าเราวิ่งอยู่ที่ใหนด้วย อย่างเช่น ถ้าวิ่งในที่สภาพการจราจรไม่รีบร้อน ก็ 5,000 เปลี่ยนทีแต่ว่าในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรควรจะเปลี่ยนก่อนหน้านั้นจะดีกว่า
ส่วนน้ำมันเครื่องที่เป็น Fully Synthetic นั้นโดยมากจะเริ่มเสื่อมที่ประมาณ 10,000 กิโลเมตรขึ้นไป ดังนั้นทางร้านหรือศูนย์บริการ จึงมักจะ ให้เปลี่ยนที่ประมาณ 10,000 กิโลเมตร แต่ถ้าพวกวิตกจริตหน่อย เหมือนผมเพราะขับรถในกรุงเทพฯเมืองฟ้ามักจะเปลี่ยนไว้ก่อนที่ 8,000-9,000 กิโลเมตร เพราะเห็นว่าระยะเวลาการทำงานประมาณนี้ก็น่าจะนานกว่าระยะทาง10,000 มากอยู่เมื่อเทียบเป็นชั้วโมงเพราะผม ถือคติว่า เหลือดีกว่าขาดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนกำหนดดีกว่าเปลี่ยนเครื่องเพราะน้ำมันขาดคุณ
ภาพครับ

-ล้างห้องเครื่องทำอย่างไร
อันนี้อันที่จริงแล้วนั้นง่ายเหมือนปอกทุเรียนเข้าปากครับคือถ้าเป็นเครื่องยนต์คาร์
บูกับเครื่องยนต์หัวฉีดก็จะแตกต่างกันเพียงนิดหน่อย โดยปกติเครื่องยนต์ก็มีระบบป้องกันน้ำเข้าห้องเครื่องอยู่แล้วแต่ระวังหน่อยก็จะดีกว
่าโดยมีวิธีการล้างดังนี้ครับ สำหรับคุณผู้หญิงก่อนอื่นก็ต้องตามแฟนมาล้างให้ง่ายที่สุดครับหรือถ้ายังไม่มีก็ลองห
าดูก่อนถ้ายังหาไม่ได้อีก ก็ทำเองตามข้างล่างนะครับ
สำหรับคุณผู้ชายอกสามสอกก็ลองมาอ่านดูเพราะจะให้ใครล้างให้อีกก็กะไรอยู่ให้ศูนย์ล้า
งก็แพงเหลือเกินสำหรับเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์นะครับก่อนอื่นก็ต้องจัดการกับตัวคาร
์บูเรเตอร์ก่อนตามด้วยหัวจานจ่ายโดยการนำถุงพลาสติกไปครอบไว้ อย่าให้เขาโผล่ขึ้นมาหายใจเดี่ยวสำลักน้ำน้ำเข้าห้องเครื่องเป็นเรื่องกันไปพอเราห่อ
เจ้าตัวปัญหาเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการล้างหน้าปะแป้งโดยการใช้น้ำผสมน้ำยาล้างจานก็ได้ครับนำมาล้างเลยตอนนี้ไม่ต้
องกลัวแล้วจับขัดถูซะให้เสร็จ แล้วล้างออกให้เรียบร้อยอย่าพึ่งสตาร์ทเครื่องเลยในทันทีนะครับให้ลองตรวจดูว่าสายที
่เรามีจับไปจับมา ต่อเข้าแน่นหรือยังเสร็จแล้วก็ นำรถยนต์ไปร่อนแถว ๆบ้านซักรอบเพื่อไล่ความชื้นเป็นอันเสร็จ

-สายพานราวลิ้นเปลี่ยนได้หรือยัง
ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักกับหน้าที่การทำงานของเจ้าสายพานราวลิ้นกันก่อนหน้าที่หลักข
องเจ้ากรรมตัวนี้ก็คือ เป็นตัวบังคับการเปิดปิดของวาล์เพื่อให้เปิดปิดเป็นจังหวะที่เหมาะสมและไม่เกิดการกร
ะแทกกันของลูกสูบกับ วาล์ เพราะ ถ้าสายพานนี้ขาดเมื่อไหร่เป็นอันต้องพึ่งอู่ซ่อมใหญ่ทุกครั้งไปเพราะถ้าลูกสูบกระแทก
วาล์จะทำให้ก้านวาล์คดได้ครับแต่ว่าในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ บางตัว ก็มีการทำวาล์หลบเพื่อป้องกันการกระแทกวาล์ของลูกสูบรถยนต์กลุ่มนี้ถึงแม้สายวาล์ขาด
ก็ยังไม่มีปัญหามากนัก
นอกจาก ค่าลากรถไปอู่เพื่อเปลี่ยนวาล์เท่านั้นเองในการเปลี่ยนวาล์นั้น โดย Spect จากโรงงานกำหนดไว้ที่ 100,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 5 ปี เปลี่ยนที แต่ว่ากรุงเทพเมืองฟ้าก็ควรจะเปลี่ยนที่ 80,000 กิโลเมตร เชื่อผมเถอะเพราะเปลี่ยนก่อน สบายใจกว่าไม่อย่างนั้นเดียวไปเดี้ยงเอากลางทาง ฝนตก รถติด ทางเปลี่ยวไม่รู้ด้วย

-ดูอย่างไรว่าอะไหล่ส่วนต่างๆเริ่มเสื่อมสภาพ
ในรถยนต์หนึ่งคันมีชิ้นส่วนต่าง ๆที่นำมาประกอบกันเพื่อเป็นตัวรถนั้นมีมากมายก่ายกอง เพราะฉะนั้นในการดูแลรักษาอะไหล่ส่วนต่าง ๆ ก็จะต่างกันไป เช่น ช่วงล่าง หรือ เครื่องยนต์ แม้กระทั่งท่อไอเสีย เอาเป็นว่าเรามาว่ากันเรื่องที่เจอกันบ่อยๆ ก่อนดีกว่ายางรถยนต์ควรดูว่ายางของคุณมีดอกหนาอยู่ที่ เท่าใหร่
ถ้ามีความลึกเกินกว่าหัวไม้ขีดเป็นอันใช้ได้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นยางโดยทั่วไปก็ควรเปลี่ยนทุกๆ 3 ปีเพราะยางที่มีการใช้งานเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่สึกมากนักแต่คุณสมบัติทางเคมีย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมดา ยางยังเสื่อมแล้วแฟนเราจะแก่เร็วไหมเนี่ย!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 1970, 07:00:00 โดย Guest »

tum_prachachuen

  • สมาชิกสมัครใหม่
  • กระทู้: 65
    • http://www.facebook.com/home.php?#!/profile.php?id=100000581449461
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2012, 17:29:24 »
ลองมาวิเคราะห์อาการของรถยนต์เบื้องต้นจะได้ไม่โดนช่างหลอกฟันเงินในกระเป๋า

-เกิดควันดำ/ควันขาว
สาเหตุโดยส่วนใหญ่เกิดจากการที่เครื่องยนต์ไม่สามารถเผาไหม้เชื้อเพลิงได้สมบูรณ์สาเ
หตุอาจเกิดได้จากรายการดังต่อไปนี้
-ตั้งระดับอากาศให้เครื่องไม่เหมาะสม
-เครื่องหลวม
-น้ำในระบบหล่อเย็นสามารถเข้าไปในห้องสูบได้

-เครื่องสั่นเวลาเริ่มวิ่ง วิ่งไปซักพักก็หายสั่น สาเหตุอาจเกิดได้จากรายการดังต่อไปนี้
- กะทะล้อ หรือ แม็ก คด
- เบรกค้าง
- Boot ยึดตัวเครื่องสื่อม
- หัวค้ำโชคเริ่มอ่อนแรง

-ยิ่งใช้ความเร็วตัวรถยิ่งสั่น
สาเหตุอาจเกิดได้จากรายการดังต่อไปนี้
- ศูนย์ล้อเบี้ยว
- เพลาขับคด
- ตัวถัง หรือ โครงรถได้รับความเสียหายทำให้เสียโครง

-มีเสียงดังต่าง ๆ
สาเหตุอาจเกิดได้จากรายการดังต่อไปนี้
- เสียงดังเป็นจังหวะ ตามอัตราเร่ง อาจเกิดจากเสียงการกระทบกันของบ่าวาล์
- เสียงวิ๊ด ๆเหมือนเสียงล้อสีถนนตอนออกล้อฟรีอาจเกิดจากสายพานในห้องเครื่องหย่อนหรือชึ้น
- เสียงไฟเลี้ยวผิดปกติเกิดจากไฟดวงใดดวงหนึ่งเสื่อมหรือเสียเป็นที่เรียบร้อยหรือการซ
๊อตกันของสายไฟ
- เสียงเหมือนจิ้งหรีดในรถยนต์อาจเกิดจากตัวเบาะขันเข้ากับตัวรถไม่แน่หรือโดยมากเกิดจ
ากการเสียดสีกันของเหล็กในห้องโดยสาร
- เสียงดังเวลาเบรกอาจเกิดจาก ดุมล้อหลวมผ้าเบรกเสื่อมคุณภาพ

-เครื่องเร่งไม่ขึ้น
สาเหตุอาจเกิดได้จากรายการดังต่อไปนี้ใส้กรองอากาศตัน อากาศร้อนจัดทำให้อุณหภูมิของอากาศก่อนเข้าห้องสูบมีความหนาแน่นต่ำตั้งอากาศไม่เพีย
งพอที่เครื่องยนต์ต้องการ เครื่องร้อนจัดอาจเกิดจากระบบหล่อเย็น การตรวจสภาพรถโดยรวมทั่ว ๆ ไป ของตัวรถ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 1970, 07:00:00 โดย Guest »

tum_prachachuen

  • สมาชิกสมัครใหม่
  • กระทู้: 65
    • http://www.facebook.com/home.php?#!/profile.php?id=100000581449461
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2012, 17:29:54 »
การตรวจสอบสภาพรถโดยรวมทั่วๆไป

-ไฟส่องสว่าง
- ตรวจความสมบูรณ์ และความถูกต้องของการต่อสวิท อย่าสลับขั้วไฟ จากไฟเบรก เป็นไฟถอย และการตรวจไฟเบรค โดยการให้คนอื่นช่วยดูเวลคคุณเบรคว่าติดครบทุกดวงหรือไม่ โดยเฉพาะไฟถอยและไฟเบรก ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะคันหลังอาจยึดเอาหลังรถของคุณเป็นที่หยุดรถแทนเบรคได้

้-ที่ปัดน้ำฝน
- ควรเปลี่ยทุก ๆ 1 ปีโดยประมาณ หรือเมื่อใบปัดน้ำฝนมีความแข็ง ไม่อ่อนตัว
- เวลาปัดด้านหนึ่ง หนึ่งจะปัดได้ราบเรียบ แต่เมื่อปัดกลับมาอีกด้านกลับกระโดดเป็นจังหวะ แสดงว่ายางปัดน้ำฝนทำมุมไม่ตั้งฉากกับตัวกระจก แก้ไขได้โดยการบิดก้านปัดให้ใบตั้งตรงเหมือนเดิม
- ในกรณีต้องการเติมน้ำยาทำความสะอาดกระจกในกล่องฉีดน้ำ ควรหาชนิดที่ไม่ตกตะกอน เพื่อไม่ให้เกิดการนอนก้นของน้ำยาเช็ดกระจก และเกิดการอุดตันภายในท่อฉีดน้ำได้

-เบรก
น้ำมันเบรค
- ตรวจความสมบูรณ์ของน้ำมันเบรคต้องไม่เปลี่ยนสี และยังมีอยุ่ในระดับที่กำหนด ไม่ต่ำกว่าเส้นที่แสดงหน้าหม้อน้ำมันเบรค
- น้ำมันเบรคที่มี DOT สูง หมายถึงมีจุดเดือนที่สูงขึ้นตามตัวเลย แต่ใช่ว่าทุกคันจะใส่น้ำมัน DOT สูง ๆ ได้เสมอไป ควรดูจาก Spect ที่ทางโรงงานกำหนดมาให้ด้วยจะเป็นการดีที่สุด

ผ้าเบรค
แบบธรรมดา มีการเบรคที่อ่อนนุ่ม เหมาะสำหรับรถบ้าน ไม่เหมาะสำหรับรถวิ่งเร็ว เพราะไม่ทนความร้อนมากนัก
- ควรเปลี่ยนทุก ๆ 2 ปี หรือเมื่อผ้าเบรคหมด
- เวลาเปลี่ยควรเปลี่ยเป็นคู่ คือ คู่หน้า หรือคู่หลัง ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ความสามารถในการหยุดรถข้างซ้ายและขวาเท่ากัน จะได้ไม่เกิดอาการกินซ้าย กินขวา
ผ้าเบรค แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ เกรดมาตรฐาน,เกรด M และเกรด R ใช้งานต่างกันคือ
1. ผ้าเบรคมาตราฐาน เหมาะสำหรับรถบ้านทั่วไป ประสิทธิภาพของเบรคดีที่สุดที่อุณหภูมิปกติ แต่เมื่ออุณหภูมิสูงจะทำงานแย่ลง
2. ผ้าเบรคแบบ M เหมาะสำหรับรถขับเร็ว ทำงานได้ดีที่อุณหภูมิสูง แต่เมื่อผ้าเบรคยังเย็นอยู่ประสิทธิภาพการเบรคสู้แบบแรกไม่ได้
3. ผ้าเบรคแบบ R เหมาะสำหรับรถแข่งสนาม ทำงานได้ดีที่อุณหภูมิสูงมาก ๆ แต่เมื่อผ้าเบรคยังเย็นอยู่ จะเบรคไม่ค่อยอยู่ และกินจานเบรค

-ถุงลมนิรภัย
ไม่ว่าจะมีถุงลมกี่ลูกกี่ใบ ก็ไม่ควรลืมคาดเข็มขัดนิรภัยในตำแหน่งที่ถูกต้องเสมอครับ
-ไม่ควรขับรถหน้าใกล้พวงมาลัยมากนัก เพราะแรงอัดของถุงลมนิรภัยอันมหาศาล อาจทำให้ได้รับความกระทะกระเทือนต่อสมองได้

-เมื่อรถอายุมากขึ้นเกิน 5 ปี
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญและตรวจความเรียบร้อยสายพานราวลิ้น (อายุการใช้งานประมาณ 100,000 Km.) แต่ควรเปลี่ยนที่ 80,000 Km. นัยว่าเพื่อความสบายใจ เพราะเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพเมืองฟ้า ขับกิโลละชั่วโมง เลยใช้ระยะทางมาคำนวนไม่ได้ อย่ารอให้สายขาดค่อยเปลี่ยน เพราะบางรุ่น วาล์ไม่หลบ จะทำให้ลูกสูบกระแทกกับวาล์ได้ และทำให้วาล์คด หมดอีกหลายตังค์นะจ๊ะ
- ระบบหล่อเย็น พวกท่อน้ำสายยางต่าง ๆ ตรวจดูว่าเริ่มพองหรือยัง หรือกรอบ ถ้าพอง กรอบ แนะนำเปลี่ยนไปเลยดีกว่า อย่ารอให้เครื่อง Heat แล้วมาเปลี่ยท่อ พร้อมยกเครื่องเพราะฝาสูบโก่งนะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน
- ระบบสายไฟ ดูว่ากรอบ หรือมีส่วนใดชำรุดเสียหาย หลุดออกจากสถานที่ ๆ ควรจะอยู่ จัดให้เรียบร้อย การล้างห้องเครื่องบ่อย ๆ บางที่ใช้น้ำมันเบนซินล้าง เสร็จแล้วดูก็สะอาดดี แต่ว่าปลอกสายไฟจะเสื่อมเร็วกว่าปรกตินะครับน้ำมันเครื่อง,น้ำมันเกียร,น้ำมันพาวเวอ
ร์,น้ำมันเบรค และน้ำกลั่น ก็อย่าลืมตรวจตราดูด้วยล่ะ ถ้าจำไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ ก็จัดการเปลี่ยนซะเลย ฉลองอายุรถครบ 5 ขวบปี หรือมากกว่าก็ใช้ได้ ไม่ว่ากัน

-เมื่อรถลุยน้ำ
เมื่อรถของคุณจำเป็นต้องขับผ่านทางที่มีน้ำขังในระดับสูง ควรทำดังนี้ครับ
- ขับรถเล่นซักพัก เพื่อรีดน้ำที่ขังในจุดต่าง ๆ ออกให้หมด จะได้ไม่เกิดน้ำขัง ไม่เกิดสนิม
- เมื่อจอดรถ ให้ดับเครื่อง และสต๊าดเครื่องซัก 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการสะบัดน้ำออกจากไดสต๊าด รักษาสภาพไดสต๊าดได้ระดับนึง
- ตรวจดูยางหุ้มหัวเพราว่ารั่ว ขาดหรือไม่ ถ้ามีรอยปริร้าว แตกเป็นร่อง ให้รีบเปลี่ยนเลยครับ
- ตรวจดูน้ำมันเครื่องว่าเปลี่ยนสีหรือไม่ เพราะว่าไม่แน่ใจว่าจะมีน้ำเข้าไปในเกียร์หรือเปล่า
- ขับไล่น้ำออกจากเบรค โดยการขับไปช้า ๆ และเหยียบเบรคให้รถหยุด (ระวังหาที่ว่าง ๆ หน่อยนะครับ เดี๋ยวคันหลังจะมาจูบท้ายเอา) ประมาณ 4-5 ครั้งหรือจนกว่าการเบรคเป็นปรกติครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 1970, 07:00:00 โดย Guest »

sak_pk

  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 856
    • ที่ดินภูเก็ต
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2012, 22:32:00 »
ขอบคุณคำแนะนำดีๆครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 1970, 07:00:00 โดย Guest »

khunthod

  • มือใหม่หัดขับ
  • *
  • กระทู้: 97
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2012, 09:16:12 »
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดี ๆ จร้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 1970, 07:00:00 โดย Guest »

Pathanapong Keawmonvai

  • สิ่งดีๆ ยังมีอยู่ในสังคมของเรา
  • มือเก๋าเฝ้าบอร์ด
  • **
  • กระทู้: 11
  • BMW 318i / N42
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: เมษายน 26, 2015, 22:20:32 »
มาช้านิดนึง ขอบคุณมากครับกับสี่งที่ดีแบบนี้ ดีมากๆสำหรับผมขอบคุณอีกครั้งครับ

JBR1992

  • พ่อ แม่ คือพรหมของบุตร
  • บุคคลในตำนาน
  • ******
  • กระทู้: 2007
  • คนไทย น้ำใจเกินร้อย
Re: การดูแลรักษาภายในรถยนต์
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: เมษายน 29, 2015, 11:07:57 »
มีผู้เชี่ยงชาญเรื่องเบาะหนัง ท่านนึง บอกว่า เบาะหนัง ก็เหมือนผิวหนังคน หากต้องการให้คงสภาพ อายุยืนยาว ไม่กรอบแตก ให้ใช้โลชั่น ทาผิว  ทาลูบไล้ บ่อย ๆ
ผมว่าจะลองดู อาจจะจริง ครับ  ""ชูสองนิ้ว::   ""ชูสองนิ้ว:: 
ถึงสูงเยี่ยมเทียมฟ้า อย่าดูถูก
ครูเคยปลูกวิชา มาแต่หลัง
ศิษย์ไร้ครูอยู่ได้ ไม่จีรัง
อย่าโอหัง ลบหลู่ ครูอาจารย์