BMW E46 Thailand
พูดคุย แลกเปลี่ยน เฮฮา => ถาม-ตอบ ปัญหา => ข้อความที่เริ่มโดย: doctor alex ที่ ธันวาคม 31, 2012, 14:36:04
-
เครื่งอ n42 บอดี้ อี46 ท่านใช้อะไรที่ดี รบกวนขอทราบหน่อยครับ ว่าจะออกไปในเมือง ไปหาซื้อครับ
-
ของศูนย์ใช้ของ Castrol XO Spec 75W-90 ลิตรละ 2,000
มีหลายๆคนแนะนำ Valvoline 80W-90 ลิตรละ 250
เปรียบเทียบ
1.)ตอนออกตัวให้ดู Viscosity ที่ 40C ถ้าสูงกว่าหนืดกว่า หนืดกว่าปกป้องสูงกว่าเพราะฟิล์มที่เคลือบ
ฟันเฟืองจะหนากว่าแต่จะต้องแลกกับต้องใช้กำลังเครื่องยนต์ที่สูงกว่าในการกวนของหนืดๆ ซึ่งจะเห็นว่า Castrol
= 103.7 , Valvoline = 135
2.) ตอนวิ่งๆทางไกล ใช้ความเร็วจนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ให้ดูที่ 100C จะเห็นว่า Castrol = 15.7 ,
Valvoline = 14.5 ดังนั้นที่อุณหภูมิในเสื้อน้ำมันเฟืองท้ายสูงขึ้นใกล้ 100 องศา Valvoline
จะไหลได้ดีกว่า หนืดน้อยกว่าใช้กำลังเครื่องยนต์ต่ำกว่า
3.) ดูคร่าวกลางๆ ระหว่างที่อุณหภูมิเคลื่อนที่ระหว่าง 40 - 100 C ให้ดู Viscosity index -
Castrol = 162 , Valvoline = 107 ดังนั้น Valvoline ต่ำกว่าใช้กำลังเครื่องเฉลี่ยต่ำกว่า
4.) การคงทนของน้ำมัน ให้ดู Flash point - Castrol = >220 , Valvoline = >186
หมายถึงถ้าเราใช้ไปนานๆๆๆๆ จนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายๆครั้ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีอนุภาคบางตัวของเนื้อน้ำมันกลายเป็นคราบ
(เหมือนน้ำในกา=ตะกรัน)ซึ่งรวมกับเนื้อเหล็กจากการเสียดสี ซึ่งหมายความว่า Castrol จะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า
-
ของศูนย์ใช้ของ Castrol XO Spec 75W-90 ลิตรละ 2,000
มีหลายๆคนแนะนำ Valvoline 80W-90 ลิตรละ 250
เปรียบเทียบ
1.)ตอนออกตัวให้ดู Viscosity ที่ 40C ถ้าสูงกว่าหนืดกว่า หนืดกว่าปกป้องสูงกว่าเพราะฟิล์มที่เคลือบ
ฟันเฟืองจะหนากว่าแต่จะต้องแลกกับต้องใช้กำลังเครื่องยนต์ที่สูงกว่าในการกวนของหนืดๆ ซึ่งจะเห็นว่า Castrol
= 103.7 , Valvoline = 135
2.) ตอนวิ่งๆทางไกล ใช้ความเร็วจนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ให้ดูที่ 100C จะเห็นว่า Castrol = 15.7 ,
Valvoline = 14.5 ดังนั้นที่อุณหภูมิในเสื้อน้ำมันเฟืองท้ายสูงขึ้นใกล้ 100 องศา Valvoline
จะไหลได้ดีกว่า หนืดน้อยกว่าใช้กำลังเครื่องยนต์ต่ำกว่า
3.) ดูคร่าวกลางๆ ระหว่างที่อุณหภูมิเคลื่อนที่ระหว่าง 40 - 100 C ให้ดู Viscosity index -
Castrol = 162 , Valvoline = 107 ดังนั้น Valvoline ต่ำกว่าใช้กำลังเครื่องเฉลี่ยต่ำกว่า
4.) การคงทนของน้ำมัน ให้ดู Flash point - Castrol = >220 , Valvoline = >186
หมายถึงถ้าเราใช้ไปนานๆๆๆๆ จนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายๆครั้ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีอนุภาคบางตัวของเนื้อน้ำมันกลายเป็นคราบ
(เหมือนน้ำในกา=ตะกรัน)ซึ่งรวมกับเนื้อเหล็กจากการเสียดสี ซึ่งหมายความว่า Castrol จะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า
โห ชัดเจนเลยพี่ เห็นภาพเลยครับ ;)
-
ขอบคุณครับพี่สมชาย ผมขออวยพรล่วงหน้าให้พี่สุขภาพดี อยู่เป็นที่พึ่งของน้องผู้่ไม่รู้ ไม่ตื่น แต่เบิกบานไปตลอดนะครัรบ ที่พี่เขียนตอน ผมก็อบ พิมพออกใส่แฟ้มไว้อ่านครัรบ
-
พี่สมชายาครับ พี่อั่นรูปหล่อประจำเวป บอกว่าเฟืองท้าน ใช้85w-140 ผมเลยถือโอกกาสถามพี่ครับ
1.จาก90 เป็น140 ตัวเลขที่เพิ่มหมายถึงอะไรครับ จาก90 เป็น140 มีอะไรแตกต่างดีแลวต่างกันไหมครับ
2. ข้างถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผมใช้มานานเป็น 10 ปีกับรถทุถคันที่บ้าน เขียนว่า 5w 40 พี่ช่วยแถลงต่อห่น่อยครับว่า 5 คืออะไร และ 40 คืออะไร
สุดท้ายพี่อย่าเบื่อรับโทรศัพท์ผมนะครับ......
-
1 ตามปกติ ศูนย์ จะแนะนำ เบอร์ 90 แต่ถ้ากลัวเฟืองท้ายหอน ก็อาจจะใช้ เบอร์ 140 ซึ่งให้ความหนืดมากกว่า
2 ตอบเรื่อง น้ำมันเครื่อง......
หลายท่านอาจจะคุ้นกับเลขพวกนี้ของน้ำมันเครื่อง 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50
แต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่าความหมายของมันคืออะไร มีผลกับคุณสมบัติของตัวน้ำมันเครื่องยังไง
ตัวเลข 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50 ตามประสาช่างทั่วไปคือ "เบอร์น้ำมันเครื่อง"
แต่จริงๆ แล้วตัวเลขพวกนี้มันคือ ค่าความหนืด หรือ Viscosity ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง
แล้วค่าความหนืดคืออะไรหละ? ... ค่าความหนืด หรือเรียกอีกชื่อคือ ค่าความต้านทานการไหล ที่จะแปรผันตามอุณหภูมิ
ซึ่งค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องมีหลายมาตรฐานตามสถาบันต่าง (ขยันตั้งมาตรฐานให้พวกเรางงกันจริงจริ๊ง ฮึ่ม!!) ได้แก่
API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE
SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS
US MILITARY CLASSIFICATION - สถาบันทางทหารของสหรัฐอเมริกา
ASTM - AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS
CCMC - COMITTEE OF COMMON MARKET CONSTRUCTION
จะเยอะไปไหนเนี๊ยะ ..?!?!???
การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลขเรียกว่า "เบอร์ของน้ำมันเครื่อง"
(แต่ช่างมันจะเรียกรวมๆ ว่าเบอร์น้ำมันเครื่อง ตามประสาช่าง!) ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน (ดีแล้วที่มาตรฐานเดียวกัน ไม่งั้นมั่วกระจาย)
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย (ง่ายๆ ตรงตัวกันไป)
W คืออะไร
W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข (องุ่น ไม่เป็นไข เอ้ยไม่ใช่)
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
เกรดของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ
1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว คือ น้ำมันเครื่องที่มีความค่าความหนืดเหมาะสมกับเฉพาะอุณหภูมิหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอุณหภูมิสูง
พออุณหภูมิเริ่มต่ำลง ความหนืดก็จะเพิ่มขึ้น รับรองโดยสถาบันเดียวคือ SAE เช่นน้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 50 หรือ SAE 40
ปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีขายอยู่ แต่หาซื้อได้น้อยมาก เหมาะกับเครื่องยนต์รอบต่ำ เครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ และประเทศเขตร้อน
2.น้ำมันเครื่องเกรดรวม Multi Grad น้ำมันเครื่องมัลติเกรด เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้
เช่นในอุณหภูมิสูง จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เรียกได้ว่ามีช่วงอุรหภุมิการใช้งานที่กว้างขึ้น
เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ทุกอุณหภูมิ ซึ่งจะระบุเป็น 2 ตัวเลข มีอักษร W เป็นตัวคั่นกลางเช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น
ปัจจุบันน้ำมันเครื่องแบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้ และมีขายในท้องตลาดทั่วๆไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่ และประเทศในเขตหนาวเย็น
และยังสามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ
มาตรฐานน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งาน
น้ำมันเครื่องที่ใช้กับรถยนต์ แบ่งได้ออกเป็น 2 มาตรฐาน ตามลักษณะการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ว่าเป็นชนิด แก๊สโซลีน
หรือ ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เพราะเครื่องยนต์ทั้งสองชนิด จะมีการออกแบบที่แตกต่างกัน อีกทั้งการเผาไหม้ของทั้งสองเชื้อเพลิง
ต่างก็ได้เขม่า และสารตกค้างหลังการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนกัน น้ำมันเครื่องจึงต้องผสมสารปรุงแต่ง หรือ Additive
ให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท
80% ของน้ำมันเครื่องที่ขายกันอยู่ในตลาดบ้านเราจะเป็นมาตรฐาน API โดยมาตรฐาน API สำหรับน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
จะมีอักษรนำหน้าว่า S (Service Stations Classifications) โดยเริ่มจาก SA เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องรุ่นเก่าๆสมัยแรกๆ ต่อมา
ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนมาตรฐานให้สูงมากขึ้นตามเทคโนโลยีจนปัจจุบัน SM ถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุด
และน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะมีอักษรนำหน้าว่า C (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION)
เริ่มจากมาตรฐาน CA – CB จนในปัจจุบันมาตรฐานสูงสุดของน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคือ CI-4 ส่วนเลข 4 จะหมายถึงกับ
ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ (เมื่อก่อนมีเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะด้วยนะ ปัจจุบันเห็นแล้ว)
ฝากทิ้งท้าย
สำหรับการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับพวกเราก็ขอให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องตามมาตรฐานที่คู่มือกำหนด หรือสูงกว่านะครับ
การใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกนานแสนนาน จริงๆ นะ
ทั้งหมดที่ผมเขียนมาอ้างอิงจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/American_Petroleum_Institute (http://en.wikipedia.org/wiki/American_Petroleum_Institute)
http://www.udclick.com/home1/index.php?option=com_content&task=view&id=2761&Itemid=105051 (http://www.udclick.com/home1/index.php?option=com_content&task=view&id=2761&Itemid=105051)
-
ขอบคุณมากๆครับ เข้าใจง่ายดีจัง ;) ;) ;)
สวัสดีปีใหม่ พี่หมอ พี่สมชายด้วยครับ :-X :-X
-
สมชาย หายห่วง ขอคารวะ ด้วยใจ..................( โค้งคำนับ....)
-
พี่สมชายาครับ พี่อั่นรูปหล่อประจำเวป บอกว่าเฟืองท้าน ใช้85w-140 ผมเลยถือโอกกาสถามพี่ครับ
1.จาก90 เป็น140 ตัวเลขที่เพิ่มหมายถึงอะไรครับ จาก90 เป็น140 มีอะไรแตกต่างดีแลวต่างกันไหมครับ
2. ข้างถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผมใช้มานานเป็น 10 ปีกับรถทุถคันที่บ้าน เขียนว่า 5w 40 พี่ช่วยแถลงต่อห่น่อยครับว่า 5 คืออะไร และ 40 คืออะไร
สุดท้ายพี่อย่าเบื่อรับโทรศัพท์ผมนะครับ......
ของผมมันมีเสียงหอนตรงท้ายเลยลองใช้ดูนะครับ กลางคืนจอดรถไว้แถมมีหมาหอนอีกจริงๆ นะครับเป็นบางคืน..!!! :o :o :o
-
พี่สมชายาครับ พี่อั่นรูปหล่อประจำเวป บอกว่าเฟืองท้าน ใช้85w-140 ผมเลยถือโอกกาสถามพี่ครับ
1.จาก90 เป็น140 ตัวเลขที่เพิ่มหมายถึงอะไรครับ จาก90 เป็น140 มีอะไรแตกต่างดีแลวต่างกันไหมครับ
2. ข้างถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผมใช้มานานเป็น 10 ปีกับรถทุถคันที่บ้าน เขียนว่า 5w 40 พี่ช่วยแถลงต่อห่น่อยครับว่า 5 คืออะไร และ 40 คืออะไร
สุดท้ายพี่อย่าเบื่อรับโทรศัพท์ผมนะครับ......
ได้ความรู้แจ้งพี่สมชายขอบคุณครับ
ได้ความรู้เรื่องแม่ย่านางเพิ่มก็เพราะรถพี่อั๋นนี่หละครับ
ของผมมันมีเสียงหอนตรงท้ายเลยลองใช้ดูนะครับ กลางคืนจอดรถไว้แถมมีหมาหอนอีกจริงๆ นะครับเป็นบางคืน..!!! :o :o :o
-
:-X :-X :-X ;) ;) ;)
ข้อมูลเพียบ
-
ควรค่าเเก่การเป็นกระทู้เก็บไว้ ให้ผู้ใช้รถทุกท่านอ่านมากครับ
-
ของศูนย์ใช้ของ Castrol XO Spec 75W-90 ลิตรละ 2,000
มีหลายๆคนแนะนำ Valvoline 80W-90 ลิตรละ 250
เปรียบเทียบ
1.)ตอนออกตัวให้ดู Viscosity ที่ 40C ถ้าสูงกว่าหนืดกว่า หนืดกว่าปกป้องสูงกว่าเพราะฟิล์มที่เคลือบ
ฟันเฟืองจะหนากว่าแต่จะต้องแลกกับต้องใช้กำลังเครื่องยนต์ที่สูงกว่าในการกวนของหนืดๆ ซึ่งจะเห็นว่า Castrol
= 103.7 , Valvoline = 135
2.) ตอนวิ่งๆทางไกล ใช้ความเร็วจนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ให้ดูที่ 100C จะเห็นว่า Castrol = 15.7 ,
Valvoline = 14.5 ดังนั้นที่อุณหภูมิในเสื้อน้ำมันเฟืองท้ายสูงขึ้นใกล้ 100 องศา Valvoline
จะไหลได้ดีกว่า หนืดน้อยกว่าใช้กำลังเครื่องยนต์ต่ำกว่า
3.) ดูคร่าวกลางๆ ระหว่างที่อุณหภูมิเคลื่อนที่ระหว่าง 40 - 100 C ให้ดู Viscosity index -
Castrol = 162 , Valvoline = 107 ดังนั้น Valvoline ต่ำกว่าใช้กำลังเครื่องเฉลี่ยต่ำกว่า
4.) การคงทนของน้ำมัน ให้ดู Flash point - Castrol = >220 , Valvoline = >186
หมายถึงถ้าเราใช้ไปนานๆๆๆๆ จนน้ำมันมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายๆครั้ง การที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะมีอนุภาคบางตัวของเนื้อน้ำมันกลายเป็นคราบ
(เหมือนน้ำในกา=ตะกรัน)ซึ่งรวมกับเนื้อเหล็กจากการเสียดสี ซึ่งหมายความว่า Castrol จะสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า
ชัดเจน ความรู้ล้วนๆ ขอบคุณมากๆครับ ผมกำลังจะเปลี่ยนพอดี :-X
-
โคตรดีใจเลยที่เป็นคนตั้งกระทุ้ และยิ่งดีใจที่พีี่สมชาย ปล่อยความรู้แบบไม่ยั้ง
-
เข้ามาเก้บข้อมูงครับ ความรู้ล้วนๆขอบคุณมากครับ
-
1 ตามปกติ ศูนย์ จะแนะนำ เบอร์ 90 แต่ถ้ากลัวเฟืองท้ายหอน ก็อาจจะใช้ เบอร์ 140 ซึ่งให้ความหนืดมากกว่า
2 ตอบเรื่อง น้ำมันเครื่อง......
หลายท่านอาจจะคุ้นกับเลขพวกนี้ของน้ำมันเครื่อง 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50
แต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่าความหมายของมันคืออะไร มีผลกับคุณสมบัติของตัวน้ำมันเครื่องยังไง
ตัวเลข 0w-40, 5w-40, 10w-40, 5w-50 ตามประสาช่างทั่วไปคือ "เบอร์น้ำมันเครื่อง"
แต่จริงๆ แล้วตัวเลขพวกนี้มันคือ ค่าความหนืด หรือ Viscosity ของน้ำมันเครื่องนั่นเอง
แล้วค่าความหนืดคืออะไรหละ? ... ค่าความหนืด หรือเรียกอีกชื่อคือ ค่าความต้านทานการไหล ที่จะแปรผันตามอุณหภูมิ
ซึ่งค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องมีหลายมาตรฐานตามสถาบันต่าง (ขยันตั้งมาตรฐานให้พวกเรางงกันจริงจริ๊ง ฮึ่ม!!) ได้แก่
API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE
SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS
US MILITARY CLASSIFICATION - สถาบันทางทหารของสหรัฐอเมริกา
ASTM - AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS
CCMC - COMITTEE OF COMMON MARKET CONSTRUCTION
จะเยอะไปไหนเนี๊ยะ ..?!?!???
การวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะวัดที่อุณหภูมิ 100 c ได้ออกมาเป็นค่าความหนืดซึ่งแทนค่าด้วยตัวเลขเรียกว่า "เบอร์ของน้ำมันเครื่อง"
(แต่ช่างมันจะเรียกรวมๆ ว่าเบอร์น้ำมันเครื่อง ตามประสาช่าง!) ซึ่งมีค่ามาตรฐานเหมือนกันทั่วโลกทุกสถาบัน (ดีแล้วที่มาตรฐานเดียวกัน ไม่งั้นมั่วกระจาย)
ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 0 - 60 .... เลขมาก หนืดมาก , เลขน้อย หนืดน้อย (ง่ายๆ ตรงตัวกันไป)
W คืออะไร
W ย่อมาจาก Winter (หรือ ฤดูหนาว นั่นเอง) ซึ่งสำหรับน้ำมันเครื่องแล้วหมายถึง ความต้านทานการเป็นไข (องุ่น ไม่เป็นไข เอ้ยไม่ใช่)
ซึ่งวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 c จนถึง - 30 c โดยตัวเลขข้างหน้าตัว W จะหมายถึงค่าที่น้ำมันเครื่องจะสามารถคงความข้นใสไว้ได้ ตามนี้
0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข
เกรดของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 เกรด คือ
1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว คือ น้ำมันเครื่องที่มีความค่าความหนืดเหมาะสมกับเฉพาะอุณหภูมิหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอุณหภูมิสูง
พออุณหภูมิเริ่มต่ำลง ความหนืดก็จะเพิ่มขึ้น รับรองโดยสถาบันเดียวคือ SAE เช่นน้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 50 หรือ SAE 40
ปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีขายอยู่ แต่หาซื้อได้น้อยมาก เหมาะกับเครื่องยนต์รอบต่ำ เครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ และประเทศเขตร้อน
2.น้ำมันเครื่องเกรดรวม Multi Grad น้ำมันเครื่องมัลติเกรด เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้
เช่นในอุณหภูมิสูง จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เรียกได้ว่ามีช่วงอุรหภุมิการใช้งานที่กว้างขึ้น
เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ทุกอุณหภูมิ ซึ่งจะระบุเป็น 2 ตัวเลข มีอักษร W เป็นตัวคั่นกลางเช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น
ปัจจุบันน้ำมันเครื่องแบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้ และมีขายในท้องตลาดทั่วๆไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่ และประเทศในเขตหนาวเย็น
และยังสามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ
มาตรฐานน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งาน
น้ำมันเครื่องที่ใช้กับรถยนต์ แบ่งได้ออกเป็น 2 มาตรฐาน ตามลักษณะการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ว่าเป็นชนิด แก๊สโซลีน
หรือ ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เพราะเครื่องยนต์ทั้งสองชนิด จะมีการออกแบบที่แตกต่างกัน อีกทั้งการเผาไหม้ของทั้งสองเชื้อเพลิง
ต่างก็ได้เขม่า และสารตกค้างหลังการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนกัน น้ำมันเครื่องจึงต้องผสมสารปรุงแต่ง หรือ Additive
ให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท
80% ของน้ำมันเครื่องที่ขายกันอยู่ในตลาดบ้านเราจะเป็นมาตรฐาน API โดยมาตรฐาน API สำหรับน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
จะมีอักษรนำหน้าว่า S (Service Stations Classifications) โดยเริ่มจาก SA เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องรุ่นเก่าๆสมัยแรกๆ ต่อมา
ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนมาตรฐานให้สูงมากขึ้นตามเทคโนโลยีจนปัจจุบัน SM ถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุด
และน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะมีอักษรนำหน้าว่า C (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION)
เริ่มจากมาตรฐาน CA – CB จนในปัจจุบันมาตรฐานสูงสุดของน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคือ CI-4 ส่วนเลข 4 จะหมายถึงกับ
ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ (เมื่อก่อนมีเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะด้วยนะ ปัจจุบันเห็นแล้ว)
ฝากทิ้งท้าย
สำหรับการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสำหรับพวกเราก็ขอให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องตามมาตรฐานที่คู่มือกำหนด หรือสูงกว่านะครับ
การใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกนานแสนนาน จริงๆ นะ
ทั้งหมดที่ผมเขียนมาอ้างอิงจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/American_Petroleum_Institute (http://en.wikipedia.org/wiki/American_Petroleum_Institute)
http://www.udclick.com/home1/index.php?option=com_content&task=view&id=2761&Itemid=105051 (http://www.udclick.com/home1/index.php?option=com_content&task=view&id=2761&Itemid=105051)
รบกวนถามพี่สมชายหน่อยนะครับ
น้ำมันเครื่องสำหรับการแข่งขัน กับ น้ำมันเครื่องแบบปกติ แตกต่างกันอย่างไรครับ
-
รถแข่งต้องการน้ำมันเครื่องที่ค่าความหนืดสูงครับ.....
รถแข่งนั้นใช้งานในรอบที่จัดกว่ารถธรรมดาบ้านๆมากครับคือรอบออกตัวก็ประมาณ 4000 อัพๆแล้ว ไฟจุดระเบิดแรงกว่า องศาแคมสูงกว่าปริมาตรความจุที่เยอะกว่า พวกนี้เ้ป็นผลทำให้ความร้อนในการใช้งานสูงมากๆสูงตลอดเวลาครับ ค่าน้ำมันถึงต้องการความหนืดที่มากขึ้น ไม่งั้นความร้อนสูงค่าความหนืดที่เคลือบเป็นชั้นฟิมล์มันจะไม่พอครับ
อย่างเช่น PTT RACING 5W-50
หรือ CASTROL EDGE SPORT 10W-60
-
ขอบคุณครับ