E46 นั้น ถือเป็นรถยนต์ BMW 3-Series เจนเนอเรชั่นที่ สี่ โดยมี E21 E30 E36 เป็นรุ่นก่อนหน้าตามลำดับโดยมีการเปิดตัวขายครั้งแรกเพื่อมาทดแทน E36 ในปี คศ. 1998 ในยุโรป และ ในประเทศไทยนั้นมีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี คศ.2000โดยเป็นการนำเข้ามาในชุดแรกๆและมีการประกอบเพื่อการจำหน่ายในประเทศไทยด้วยในปีเดียวกันนั้น ซึ่งนับว่าเป็นรุ่นแรก ๆ ที่ทำการตลาดโดย BMW Thailand
ในการออกแบบ BMW E46 นั้น มีโจทย์ง่าย ๆ แต่ทำยากคือ รถสวย ช่วงล่างดี ตัวถังเบา ปลอดภัย แข็งแรง หากเป็นรถในตระกูลตัวแรก โจทย์เหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากเพราะว่า E36 รุ่นที่กำลังทำตลาดในขณะนั้ นได้มีการออกแบบที่ลงตัวกับยุคสมัยนั้น หากทำให้ E46 ดูล้ำสมัยกว่า จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยทีมออกแบบของ BMW เอง จึงได้มีการประสานงานกันระหว่าง DesignworkUSA ช่วยในการออกแบบ E46 DesigneworkUSA นั้นก็มีผลงานอื่น ๆ ฝากตามมาอีกเช่น MINI และยังเป็นบริษัทที่ทำการออกแบบผลิตภัณฑ์หลายชนิดอีกด้วย
รูปร่างภายนอกนั้น หลัก ๆ มีการเขียนแบบโดย Erik Goplen (ออกแบบ X3 และรุ่นอื่น ๆด้วย) หากดูคร่าว ๆ แล้ว การออกแบบ E46 ก็คือการนำเอา E36 มาลบเหลี่ยมลบมุมออก แล้วเปลี่ยนเส้นสายให้ดูลื่นขึ้น ทั้งเส้นข้างรถ และกระโปรงท้ายรถ โดยยังคำนึงถึงการปรับปรุงค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศของรถ (0.26-0.38 Sedan - Coupe)ที่จะไม่รั้งตัวรถไว้เกินความจำเป็น แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของรถรุ่นก่อนที่คนติดตามาแล้วถึง เก้าปีด้วย ได้มิติตัวรถที่มีขนาด ยาว กว้าง สูง คือ 4470mm 1740mm 1415mm ฐานล้อยาวขึ้นจาก E36 เป็น 2725mm เพื่อรักษาน้ำหนักหน้าหลังให้เท่ากัน จึงมีการขยับเครื่องยนต์ไปลึกอีกนิดในห้องห้องเครื่อง พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังมีพื้นที่มากขึ้น แต่โดยรวมจะเห็นว่าเป็นรถที่มีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับรถคอมแพคในปัจจุบัน (ALTIS CIVIC LANCER EX) เพราะสมัยนั้นรถคอมแพคยังมีขนาดไม่ใหญ่มากถึงจะมีการลดน้ำหนักช่วงล่าง ตัวถัง และขนาดรถที่เล็กนั้น น้ำหนักตัวของมันก็ไม่ได้เล็กตามไปด้วย ในรุ่นที่เบาที่สุดของ ซีดาน ยังมีน้ำหนักมากถึง 1350kg เลยทีเดียว เพราะโลหะที่ใช้ทำโครงนั้น มีความหนามากกว่ารถในระดับเดียวกันอยู่ เพื่อความมั่นคงของโครงสร้าง more solid, stiffer, rigid body แล้วแต่ใครจะเรียกสามปีหลังการเปิดตัว กันยายน 2001 มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาของ ช่องลม ไฟหน้า ไฟมุม และเส้นกระโปรงหน้าในรุ่น facelift เพื่อรับการเปิดตัวของคู่แข่งอย่าง MB W203 C-class ทีเปิดตัวไปในปี 2000ในเรื่องความสวยงามนั้น คงไม่เหมาะทีจะกล่าวถึง เพราะเป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ แต่ สิง่ที่จะไม่เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัว ที่พอจะบอกได้ว่ามันสวย คือ รางวัลการออกแบบ หลาย ๆ ปี ติด ๆ กันในช่วงที่มีการเอา E46 ออกขายจากทั่วทุกมุมโลกเรียกได้ว่า ผู้ออกแบบ ได้ตอบโจทย์ ความสวย ความปลอดภัย ได้แล้วในระดับที่น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยแล้วช่วงล่างของรถล่ะจะมีดีอย่างไร ?ดีไซน์ภายนอกของรถรุ่นนี้ไม่ใช่เพียงอย่างเดียวที่มันถูกกล่าวถึงมากเป็นพิเศษ แต่ ระบบกันสะเทือนของรถที่ได้รับการปรับแต่ง ปรับปรุง จาก E36 ทำให้รถมีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก โดยเน้นการลดน้ำหนักของชิ้นส่วนช่วงล่าง (unsprung weight) ที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจาก E38 และ E39 ชิ้นส่วนช่วงล่างเกือบทุกชิ้น มีอลูมิเนียมเป้นส่วนประกอบหลัก และยังได้รับการจัดวางชิ้นส่วนรับน้ำหนักให้อยู่ในตำแหน่งที่กระจายน้ำหนัก หน้าหลังออกเป็นอย่างล่ะครึ่งหนึ่ง 50:50 load เพื่อการทรงตัวที่ดีในทุก ๆสภาวะเช่นเดียวกับ E36 และ อะไหล่ช่วงล่างบางชิ้นของรถ ก็ยังหยิบยืมมาจาก E36 ที่ออกแบบมาได้ดีอยู่แล้ว เช่น ระบบบังคับเลี้ยว ระบบเบรค แต่มีการใส่ ระบบควบคุมการทรงตัวในภาวะคับขันเพิ่มมาที่เรียกว่า ASC หรือ DSC ตามแต่รุ่นย่อย ๆ นั้น เช่นเดียวกับ E39และเพื่อรองรับ แก้ปัญหาวงเลี้ยวแคบมาก ๆ ทีเกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ รวมถึงการแก้ไขส่วนของ Oversteer นั้น มีการปรับศูนย์ล้อใหม่ ให้เหมาะสมกันในแต่ละรุ่นย่อย แบ่งตามขนาด น้ำหนักตัว และ ขนาดเครื่องยนต์ หากใครที่ได้รับรถใหม่ ๆ สังเกตว่า ล้อหลังนั้น นอกจากจะแบะออกแล้ว ยังงุ้มเข้าด้านหน้าของตัวรถอีกด้วย ดังนั้น การตั้งศูนย์ล้อของรถรุ่นนี้ มีเสปคย่อย ๆ มากมาย หลาย ๆ ครั้งที่ร้านตั้งศูนย์ที่มีเครื่องมือไม่พร้อม ไม่มีสเปคที่ละเอียดพอ ก็ไม่สามารถตั้งศูนย์ให้เหมาะกับรถได้ ซึ่งอาจจะทำให้ รถที่ขับดี ๆ ในประวัติศาสตร์ คันหนึ่ง กลายเป็นรถขับหลังธรรมดาที่มีท้ายปัดเป๋เวลาเลี้ยวเข้าโค้งไปได้
<!-- s:lol: -->:lol:<!-- s:lol: --> ขอกล่าวถึงนิดนึง กับการตั้งศูนย์ รถยนต์ BMW และ BENZรถสองยี่ห้อนี้ มีวิธีการตั้งศูนย์ที่ไม่เหมือนรถยี่ปุ่น และรถขับหน้าทั่ว ๆไปในท้องตลาด หลาย ๆครั้งที่ร้านตั้งศูนย์จับรถขึ้นสะพาน ปรับศูนย์ล้อให้เป็นศูนย์ทุกค่าจริง ๆ ไม่ได้คำนึงถึงข้อมูลจำเพาะและรายละเอียดมากนัก หากมองถึงการใช้งานทั่วไปนั้น ก็ดีสำหรับการยืดอายุดอกยาง แต่สมรรถภาพของรถ จะไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ออกแบบได้ตั้งใจให้เป็น รถทั้งสองยี่ห้อนี้ เวลาตั้งศูนย์ จะต้องมีการถ่วงน้ำหนัก แล้วแต่รุ่น และขนาดของรถ ในตำแหน่งคนขับ และคนนั่ง ก่อนทำการตั้งศูนย์ ทุกรุ่น ! แต่นอกจากศูนย์บริการบางแห่งแล้ว ร้านตั้งศูนย์ ข้างนอก ผมไม่เคยเห็นมีการถ่วงน้ำหนักตามคู่มือแม้แต่น้อย เพราะเพียงแค่ คุณกระโดดไปนั่งในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในรถ ศูนย์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเครื่องตั้งศูนย์ ก็เพี้ยนออกไปแล้ว
ทำไมต้องถ่วงน้ำหนัก ? รายละเอียดปลีกย่อยคงต้องไปหาอ่านกันเอง แต่คร่าว ๆ คือ ศูนย์ล้อที่แท้จริงของรถ จะถูกเลือกจากการที่สปริงส่วนอ่อนของรถยุบตัวไปแล้ว สปริงของรถสองยี่ห้อนี้ เป็นทรง ป่องกลาง ส่วนที่จะยุบตัวมากกว่าคือส่วนป่องกลาง นี้ล่ะ พอมันยุบ องศา ต่าง ๆ ค่าต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไป นักออกแบบเลือกใช้จุดนี้ในการคำนวนศูนย์ล้อ วงเลี้ยว กับบังคับเลี้ยวครับ
ยังพออนุโลมได้ ระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เวลาเลือกรุ่น ในเครื่องตั้งศูนย์ ช่างตั้งศูนย์เองก็ยังบอกไม่ได้เลยว่า รถที่ตัวเองตั้งศูนย์นั้น เป็นรุ่นย่อยรุ่นไหน ทำให้ค่าการตั้งศูนย์ แทบจะมีโอกาสเป็นรถรุ่นนั้นน้อยมาก ๆ อันนี้ต้องเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ
สำหรับชาวBMW BENZ ทุก ๆ ท่าน ว่าทำไม ตั้งศูนย์แล้ว รถยังขับได้ไม่ดีเท่าที่ควร หากสัมผัสไม่ได้ ก็นับว่าโชคดีไป แต่หากรับรู้ได้ ก็จะกลายเป็นปัญหาหงุดหงิดทุกครั้งไปนอกเรื่องไปไกลนิดหนึ่ง
ขอกลับมาที่ช่วงล่างกันต่อระบบ ASC และ DSC นั้น ชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Automatic Stability Control และ Dynamic Stability Control ในรถรุ่นแรกๆ และรุ่นล่าง ๆ นั้น จะมีเฉพาะระบบ ASC เท่านั้น และในปีหลัง ๆ มีการเพิ่มระบบ DSC ขึ้นมา ทั้งสองระบบทำหน้าที่คล้าย ๆ กันคือ ควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวรถบนพื้นลื่น และ พื้นที่ไม่เรียบ แต่ต่างกันในวิธีการทำงาน ASC มีหน้าที่ป้องกันการสูญเสียการทรงตัว โดยจะทำให้ผู้ขับขี่ สามารถเข้าโค้ง และเร่งเครื่องยนต์ไปได้ โดยที่ไม่เกิดภาวะ Over/understeer (คาดว่าผมคงอยู่ในสวนมะพร้าว over/understeer คงเป็นมะพร้าวห้าว ไม่ขอนำมาขาย) หรือแม้แต่ทางตรง เมื่อมีการเร่งเครื่อง บนพื้นถนนที่ไม่เรียบ หรือ ลื่น ระบบASC ก็จะคอยระมัดระวังไม่ให้ล้อหลังมีการหมุนขณะเร่งเครื่อง ที่จะทำให้รถปัด (BMW E46 ขับหลัง ครับ ต้องบอกไหมนี่ ) หากล้อข้างไหนมีการไถลเกิดขึ้น ล้อข้างนั้นจะถูกระบบ ASC สั่งการเบรคล้อนั้นเพื่อรักษาการทรงตัว และหากล้อหลังทั้งสองลื่นไปทั้งคู่ มันจะไปควบคุมแรงของเครื่องยนต์ หรือแรงของเกียร์ในกรณีที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ เพื่อไม่ให้รถปัด เรียกว่าคุณไม่สามารถออกล้อฟรีข้างเดียว หรือสองล้อในทางตรงกับรถรุ่นนี้ได้หากมีการเปิดใช้งานระบบ ASC ไว้นั่นแหละ และข้อดีของรถรุ่นนี้ คือ หากคุณอยากจะ DRIFT ใช่ครับ ไม่ว่าจะ VIN Diesel หรือ เจ้าแม่ดริฟ แห่ง การปิดตาอ่านหนังสือ(ถามหมอเจเอาครับ ;-P) อยาก ดริฟท์ ก็สามารถเลือกปิดระบบ ASC เพื่อทำการดริฟท์ได้ ตามใจชอบครับ เป็นสวิทชปุ่มเล็ก ๆ อยู่ใต้ชุดควบคุมแอร์ตรงบริเวณทีเขี่ยบุหรี่ ที่เขียนว่า ASC นั่นแหละ กดปุ๊ปจะมีไฟบอกให้รู้บนหน้าปัดว่า ระบบปิดอยู่นะครับ ไฟรูปลูกศรล้อมสามเหลี่ยมตกใจกลางหน้าปัทม์นั่นแหละDSC นั้นเป็นระบบที่ครอบเจ้าระบบ ASC ไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งหากอ่านข้างบนนี้เข้าใจ จะรู้ว่า ASC สั่งงานได้ทั้ง เครื่องยนต์ เกียร์ และ ระบบเบรคล้อหลัง แต่ DSC นั้น มีมากกว่านั้น เพราะมันยังรวมเอาการควบคุมล้อทั้งสี่ ระบบ ASC และ ระบบ ABS เข้าไว้อีกทีหนึ่งด้วย ซึ่งเจ้าระบบนี้ จะสามารถตรวจพบแนวโน้มการเกิดUnder/Oversteer ได้ตั้งแต่เริ่มต้น และทำการควบคุมการเบรค หรือ ปล่อยเบรค ควบคุมแรงบิดข้องเกียร์ และเครื่องยนต์ที่ล้อต่าง ๆ โดยอาศัยการประเมิณผลจากเซนเซอร์ของล้อทั้งสี่ที่วัดรอบการหมุนของล้อ เซนเซอร์ของเกียร์ เซนเซอร์ขององศาลิ้นปีกผีเสื้อ เซนเซอร์ ความเร็วรอบเครื่องรอบเกียร์ องศาการหักเลี้ยวของล้อรถ และ การวัดYAW หรือ องศาการหมุนรอบของรถในแนวตั้ง ซึ่งการมีระบบนี้ ไม่ว่าหน้ายางที่สัมผัสลงบนพื้นจะมีการยึดเกาะถนนไม่เท่ากัน ระบบนี้จะยังสามารถรักษาการควบคุมรถให้อยู่ในสภาวะการขับขี่อย่างปรกติได้ ไม่ใช่ว่าการมีระบบDSC จะได้มาเปล่า ๆ ค่าตัวทีเพิ่มขึ้นมาคือส่วนที่เจ้าของรถต้องจ่าย เพราะเจ้ากล่อง DSC นั้นกระบวนการผลิตใช้ทองคำแท้ ๆ จำนวนมากกว่าวงจรอีเล็คทรอนิคส์ในคอมพิวเตอร์อยู่มาก แม้กระทั่งขาสัญญาณในวงจรยังมีทองคำเป็นเส้น ๆ ให้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามากมาย เชื่อมต่อระหว่างขาไอซี กับเซนเซอร์ทุกตัวที่ผมกล่าวไว้ เวลามันมีปัญหา ซึ่งก็เจอกันหลายคน ค่าตัวของกล่อง DSC นั้นจึงมีราคาค่อนข้างแพง (2x,xxxบาท ) โชคดี รถผมไม่มี มีแค่ ASC ถ้ามันเสียก็ยังพอจะซ่อมกันได้บ้างมีหลายกรณีที่เจ้าของรถที่มีระบบ ASC DSC จะประสพปัญหาไฟเตือนต่าง ๆ ขึ้น เช่น ไฟเกียร์ ไฟ TRACTION ไฟเตือนเบรคมือ แล้วเวลาไปตรวจวิเคราะห์ด้วยเครื่อง GT1 มักจะไปลงเอยด้วยการเปลี่ยน อุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย โดยปัญหาไม่จบ
การวิเคราะห์รถยนต์ด้วย GT1 นั้นมีรายละเอียดมากมาย หากไม่ใช่ช่างที่ได้รับการฝึกฝนจาก BMW มาเฉพาะ อาจจะทำให้การแก้ปัญหาไม่ถูกจุดเกิดขึ้นได้ เพราะ FAULT CODE เดียว อาจจะมีต้นเหตุมาจากอุปกรณ์ตัวไดตัวหนึ่ง หรือหลาย ๆ ตัวที่มันเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ เนื่องจาก DSC ตัวเดียวก็อ่านค่ามาจากเซนเซอร์อีกสิบกว่าตัวเข้าไปแล้ว แค่มีตัวไดตัวหนึงมีปัญหา ไฟก็เตือนแล้ว ไม่ต้องไปนับรวมปัญหาที่อาจจะมาจากตัวมันเองอีก ในเรื่องความปลอดภัย BMW E46 ได้ใส่เอาแอร์แบก 6 ลูกเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรถที่เปิดตัวในปี 1998 ทุกคัน และ ยังเพิ่มเป็น 8 และ 10 ลูกในปีต่อ ๆ มา ประกอบกับโครงสร้างตัวถังที่ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแรงมากกว่า E36 ถึง 70% ประตูรถทุกบ้านจะสามารถเปิดออกได้แม้จะได้รับแรงกระแทก โดยเทคนิคความปลอดภัยจาก 7-Series ให้สังเกตตรงชายประตูจะมีพลาสติกสามเหลี่ยมทรงตันหักปลายยื่นออกไปส่วนของเสากล่างด้านล่าง เป็นหลุมรูปสามเหลี่ยมรับกัน นั่นแหละครับ คือส่วนที่จะช่วยให้ประตูเปิดออกได้หลังเกิดอุบัติเหตุ
สิ่งที่น่าสนใจของรถรุ่นนี้ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ ระบบเกียร์ ที่นอกจากจะเป็นเกียร์ Steptronic แล้ว ตัวสมองเกียร์ ยังเป็นรถรุ่นแรก ๆ ของ BMW ที่สามารถเรียนรู้รูปแบบการขับขี่ของคนขับได้ (ADAPTIVE FUNCTION)ซึ่งระบบเกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนเกียร์ การออกแรงกดคลัทช์ จังหวะล๊อกอัพคลัทช์ ให้เหมาะสมตามสภาวะการขับขี่ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในสภาวะที่มีการเหยียบคันเร่ง แตะเบรคบ่อย ๆแบบจราจรหนาแน่น หรือ การขับขี่แบบขึ้นเขาลงเขาแบบใช้แรงบิดสูงมีเอนจินเบรค แบบการขับขี่นุ่มนวลทางเรียบไกล ๆ มีเร่งแซงบ้าง หรือ การขับขี่แบบสุดโหด ลากรอบยาว ๆ สมองเกียร์จะทำการเรียนรู้ตลอดเวลา และทำการควบคุมแรงบิดเกียร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน และนิสัยผู้ขับขี่ ในอเมริกา และกลุ่มขับซ้าย นั้น E46 ได้มีการเปิดตัวรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ All Wheel Drive ไว้ด้วย แต่สำหรับรถในประเทศอื่น ๆ ไม่มีระบบขับเคลื่อนนี้ เพราะ ระบบขับเคลื่อนล้อหน้านั้นออกแบบมาอยู่ติดกับแร๊กด้านขวาของตัวรถ ทำให้ไม่มีรถรุ่นนี้สำหรับพวงมาลัยขวา เครื่องยนต์ ตัวเลขรุ่นท้ายรถ ไม่ได้บอกขนาดพิกัดของเครื่องยนต์เหมือนรุ่นที่ผ่านมา แต่มันเป็นการแบ่งรุ่นย่อย เท่านั้นเอง เครื่องยนต์สำหรับ E46 นั้นมีให้เลือกมากมาย แล้วแต่ความต้องการของลูกค้าดังเช่นรถรุ่นก่อน ๆ โดยมีทั้ง 4สูบ 6 สูบแถวเรียง และ V8 32วาล์วด้วย โดยแบ่งตามรหัสเครื่องยนต์ได้แก่
-M43 8 วาล์ว ที่รับมรดกมาจาก E36 ถูกพัฒนาจนปลายรุ่น และปรับปรุงให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะขาย มีเครื่องขนาดเดียวคือ 1895cc ในไทยมีขายตั้งแต่ปีแรกทีเปิดตัวถึงปี 2001 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไฟยก(ส่วนตัว ผมและเพื่อนต่างก็ใช้เครื่องตัวนี้ เทียบกับ M52TUใน E39 ที่เคยใช้แล้ว ตัวนี้ทนกว่า และซ่อมบำรุงถูก และง่ายกว่าด้วยครับ ประสบการณ์ท่านอื่นอาจจะแตกต่างไป ช่วยกันแชร์ครับ ผมอยากรู้)
-N42 16วาล์ว มีทั้ง 1.8 และ 2.0 ลิตร ที่ขายในไทยมีแต่ 2.0 ใครใช้เครื่องตัวนี้ก็อยู่ในลิสทประวัติศาตสร์ต้องจากรึกเพราะมีแค่ E46 เท่านั้นที่ได้ใช้เครื่องตัวนี้ เป็นเวลา 3 ปีเท่านั้นอายุสั้นไปนิดเพราะปัญหาเยอะไปหน่อย BMWเลยต้องปล่อยเอา N46 มารับหน้าเสื่อแทน คาดว่ามีในโลกไม่ถึงสามแสนคัน
-N46 เป็นเครื่องยนต์ที่พูดได้ว่ามีประสิทธิภาพ และปัญหาน้อยกว่าN42 เพราะมันเกิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ความจุ 2.0ลิตรเช่นกัน พื้นฐานเครื่องยนต์จริง ๆ ก็คือ N42 ในฝาเครื่อง และกล่องเครื่องใหม่ รายละเอียดของวัสดุที่ใช้ผลิต แม้กระทั่งการทำเกลียวน๊อต รู และรูปร่างเล็ก ๆ น้อย ของเครื่องเปลี่ยนไปเพื่อแก้ปัญหา น้ำมันรั่ว เครื่องสั่น วานอสเสียงดัง อื่น ๆอีกมากมาย แม้กระทั่งการรวมเอาชุดควบคุมหัวฉีดไปเป็นส่วนเดียวกับ Engine Management
-M52TU เครื่องยนต์ที่ยกมาจาก E39 มีขนาดเครื่องยนต์ 2.0 2.2 2.5 ในเมืองไทยน่าจะมีแค่ตัว 2.5 สำหรับเครื่องตัวนี้ (ใครใช้ขนาดอื่นบอกผมด้วยครับ )
-M54 ขนาดเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 2.0 ถึง 3.2 ตัวนี้ผมมีรายละเอียดน้อยครับ
-M56 ขนาดเครื่อง 2.5 litre อีกเช่นกันกับ M54 ในไทยไม่เคยเจอกับ E46 นะครับ
-S54 ขนาดเครื่องยนต์ 3.2 litre อยู่ในเฉพาะ M3
-M3GTR 4.0litre ตัวแรงแต่งนอกค่าย 0-100 4วินาที V8 ตัวนี้มีหัวตัดหลุดมาเมืองไทยเหมือนกัน
ระบบไฟฟ้า รถรุ่นนี้นับเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่มีระบบไฟฟ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่าง ๆ เต็มรถไปหมด ไม่ว่าจะไฟส่องสว่างภายนอกรถ อันได้แก่ไฟหน้า ไฟท้าย ทุกดวงควบคุมด้วยกล่องอิเลคทรอนิคส์ เพื่อการตรวจเช็คสภาพหลอดขาดหลอดผิดขนาด มีฟังก์ชั่นกระจุ๋มกระจิ๋มที่ผมพอจะนึกได้เป็นขอดี..คือ
- เวลาดับเครื่องยนต์หากลืมเปิดไฟหน้าไว้ จะมีเสียงร้องเตือน
- การโยกคันไฟเลี้ยวค้างไว้แล้วบิดสวิทช์ไฟหรี่ไว้ ไฟหรี่จะติดข้างเดียวกับที่เปิดไฟเลี้ยวไว้ สำหรับจอชิดถนนกลางคืน ให้ไฟสว่างข้างเดียว
- เวลาลงจากรถ เราสามารถดึงก้านไฟเลี้ยวเข้าหาตัว เพื่อทำให้ไฟหน้าทำงานประมาณ 1 นาทีเป็นการส่องทางเดินให้เมื่อลงจากรถในตอนกลางคืน
- หากหลอดไฟหรี่ขาด ตัวไฟเลี้ยวด้านเดียวกับหลอดที่ไฟหรี่ขาด จะติดขึ้นมาแทน พร้อมเตือนสภาวะหลอดขาด
- หลอดไฟส่องสว่างนอกรถทุกดวงหากไม่ครบวงจร จะมีไฟเตือนบนหน้าปัทม์บอกตำแหน่งหลอดที่มีปัญหา ยกเว้นไฟเลี้ยว ที่จะรู้ได้เพียงเสียงไฟเลี้ยวกระพริบเร็วกว่าปรกติ
- หลอดไฟคู่หน้าสามารถปรับสูงต่ำได้จากภายในรถเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อชดเชยกรณีบรรทุกท้ายห้อยหน้าเชิด
ไฟส่องสว่างภายในรถก็ไม่แพ้กัน
- เราสามารถเปิดไฟส่องสว่างได้ด้วยสวิทช์ปุ่มกดเพียงปุ่มเดียวเพื่อให้ไฟทำงานในโหมดประตูเปิด ปิด หรือ จะเปิดปิดเองได้
- ด้านข้างสวิทช์ไฟส่องสว่าง จะมีหลอดไฟเล็ก ๆ สองดวงขนาบซ้ายขวา สีแดง ๆ แบบเดียวกับพื้นหน้าปัทม์ความเร็ว ซึ่งจะปรับให้สว่างมากน้อยได้ด้วย ดิมเมอร์ที่ปรับความสว่างหน้าปัทม์ ไฟสองดวงนี้จะส่องมาถึงบริเวณกระปุกเกียร์ และที่ใส่ของทีเขี่ยบุหรีด้วย
- ไฟหน้าปัทม์ ไฟเรืองแสงของตัวควบคุมระบบปรับอากาศ ไฟวิทยุ ปรับให้สว่างมากน้อยได้ด้วยปุ่มหมุนข้างสวิทช์ไฟหน้า
- ไฟส่องสว่างในห้องเก็บของท้ายรถ จะดับเองหากลืมปิดกระโปรงท้ายรถ หรือปิดไม่สนิท ตัดปัญหาไฟหมดกรณีลืม
นอกจากไฟส่องสว่างแล้ว ระบบวิทยุ ระบบcd changer ระบบนาวิเกชั่น ยังเชื่อมกับชุดไฟทั้งหมดผ่าน IBUS ข้อดีของมันก็คือ
- หากเราจอดรถตากแดดไว้เป็นเวลานาน แล้วขึ้นรถ พยายามจะเปิด CD Changer แต่บังเอิญว่าตัว Changer มันมีความร้อนมาก วิทยุจะขึ้นข้อความเตือนให้รู้ และไม่เปิด ซีดีจนกว่าจะเย็นลง ทำให้ลดความเสี่ยงของแผ่นซีดีเสียหายเนื่องจากความร้อนได้ทางหนึง
- สามารถใช้ชุด upgrade ของ BMW ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นรุ่นต่ำสุด ก็สามารถซื้ออุปกรณ์รุ่นสุงสุดมาต่อได้ ตั้งแต่ Voice Control, Bluetooth, Navigation, TV etc แต่ก็เป็นข้อเสียเพราะอุปกรณ์พวกนี้ของBMW ราคาแพงพอ ๆ กับเครื่องเสียงราคาแพง ๆ
- เครื่องเสียงติดรถควบคุมความดังของเสียงในกรณีขับรถเร็วด้วย เปิดปิดระบบนี้ได้
กุญแจรีโมท Immobilizer ของ E46 เป็นรถรุ่นแรก ๆ ที่ใช้ EWS 3.3 มี ROLLING CODE เช่นกัน คือ ไม่สามารถมีกุญแจที่มีโค้ทเหมือนกันสองดอกได้ ทุก ๆ ดอกจะถูกบันทึกในกล่อง EWS แยกกันเด็ดขาดเพราะมันจะ เปลี่ยนpassword ทุกครั้งที่กุญแจเสียบไปในเบ้ากุญแจ
ฟังก์ชั่นย่อย ๆเกี่ยวกับรีโมท เซนทรัลล๊อกนั้นทำงานรวมกันหมด ได้แก่
- การจำตำแหน่งที่นั่งคนขับในเบาะไฟฟ้าของกุญแจแต่ละดอก
- การล๊อกประตูอัตโนมัติ ของกุญแจแต่ละดอกไม่เหมือนกัน ขับไปแล้วรถล็อกเอง หรือไม่ล๊อกเองตั้งได้ และจำเฉพาะกุญแจดอกนั้น ๆ
- เปิดปิดกระจกรถทุกบานด้วยรีโมทได้ ไม่ต้องสตาร์ทรถ หรือเสียบกุญแจ
- เลือกล๊อกรถ เปิดรถ แบบทุกบาน หรือเฉพาะบานคนขับก็ได้
และอีกเล็ก ๆ น้อย ที่ผมขอละไว้ให้เจ้าของ E46 ทั้งใหม่และเก่าเอาไปเล่นกันเองดีกว่า
หน้าปัทม์แสดงผลของรุ่นนี้สามารถโปรแกรมได้หลายแบบ เช่น จากองศาฟาเรนไฮด์เป็น เซลเซียล กิโลเมตรเป็นไมล์ Litre/100 เป็น km/litre เป็นต้น
ในรถรุ่นต่าง ๆ ยังมีระบบไฟฟ้ายิบย่อย เช่น เบาะปรับไฟฟ้า พวงมาลัยไฟฟ้า กระจกข้างพับไฟฟ้า ครูสคอนโทรล ระบบวัดปริมาณน้ำฝนควบคุมที่ปัทม์น้ำฝนตามความเร็วรถ ระบบ ปรับม่านหลังไฟฟ้าขึ้นลงอัตโนมัติ
อย่าแปลกใจ หากคุณเห็นคู่มือซ่อมรถรุ่นนี้ หนากว่า 4 พันหน้าขนาด A3 สองเล่ม เพื่อครอบคลุมฟังก์ชั่นทั้งหมดของรถ
ไหน ๆ ก็กล่าวถึงกระจกไฟฟ้าแล้ว หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินถึงเรื่องกระจกตกรางของรถรุ่นนี้ บางคนบอกว่า รถรุ่นนี้ห่วย เพราะกระจกตกราง ค่าซ่อมแพงสี่ห้าพันบาทต่อบาน !@?

?ผมใช้รถรุ่นนี้มาเกือบ ๆสิบปีพอดีๆ กับเพื่อนบ้านอีกสองท่านที่ใช้รุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน ออกรถจากศูนย์เดียวกัน กระจกตกรางคนละบานในสามปีแรกทุกคัน และทุกบานในรถ ได้รับการแก้ไขแล้วในช่วงที่รถออกมา หากเจ้าของรถรู้จักเรียกร้องซักนิดไม่มีต้องไปทำซ้ำ หรือ หากจะต้องไปทำ ผมเห็นร้านข้างนอกรับซ่อมไม่เกิน บานละ 1000 บาท ด้วยการใช้คลิบรองสลิงกระจกที่เป็นโลหะ หรือ เฟืองกระจกโลหะ แทนพลาสติก ผมกับเพื่อน ซ่อมฟรีไปแล้ว ไม่นับล่ะ และยังมี DIY ในราคาไม่เกิน 500 ต่อบานให้เห็นอีกหรือจะซื้อรางกระจกทั้งรางของเทียบ สองพันบาท ก็ของแท้ถ้ามันเสียเร็วคุณทะลึ่งไปใช้ ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรหรือแม้แต่ถ้าลงทุนกับของแท้ ที่ผมได้รับการยืนยันจากศูนย์แล้วว่า ไม่เสียอีกนาน ...
ถ้าใครยังบอกว่ารุ่นนี้ห่วย เพราะแค่กระจกตกราง ซ่อมไม่หาย ผมว่าพิจารณาตัวเองอีกนิดครับ ว่าทำไมซ่อมไม่หาย และซ่อมแพงเหมือนผมและเพื่อน ๆ E46 นั้นปิดยอดขายรวมทั่วโลก อยู่ที่ราวๆ
5 ล้านคัน ตั้งแต่ปี 1998-2006 เป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถBMW ทั้งหมด เรียกว่า BMW หากินกับ 3-Series ซะส่วนมาก ทุก ๆ ปีที่มีการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ มันจะได้รับรางวัน 10 Best Car จากนิตยสาร Car and Driver Magazine ยังมีรางวัลต่าง ๆในด้านการออกแบบ การขับขี่ จากทั่วทุกมุมโลก ที่ยกให้กับรถรุ่นนี้หลาย ๆ ปีติด ๆ กัน ซึ่งก็เป็นการยืนยันถึงความดีของตัวรถรุ่นนี้อีกทางหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกทดแทนด้วย E90
ผมเขียนมาตรงนี้ แล้ว กับรถอายุตลาดมากกว่า 10 ปี หากยังไม่เห็นข้อดีของรถรุ่นนี้ ก็ไม่ว่ากันครับ ผมเองก็สบาย ๆกับมันอยู่แล้ว เพราะเขียนไป ผมก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว นอกจาก..
หวังว่าคุณภรรยาผม ถ้ามาอ่านเห็น คงน่าจะเห็นข้อดีของมันบ้างนะครับ
ขอบคุณทุกท่าน ๆที่อ่าน ขอบคุณทุกคำ ติชมครับ
หากเป็นประโยชน์สร้างสรรค์เป็นผลกรรมดี ขอให้ผลกรรมดีตอบแทนไปยังคนดีทุกคน และคนชั่วใจบาปได้สงบ
หากเป็นโทษไม่สร้างสรรค์ ขออภัยกรรมให้ผมเอย
จากคุณ: Crayonz เวป พันทิป (ขอบคุณในวิทยาทานนี้ครับ)
เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:39:56 A:101.108.167.1 X: TicketID:158059